เซ็นทรัลพัฒนา คาดอิบิตดามาร์จิ้นปีนี้ฟื้นสู่ปกติทะลุ 50% หลัง 2 ปีที่ผ่านมา รับผลกระทบทางการเมือง เชื่อไตรมาส 2/55 รายได้โตกว่าไตรมาส 1/55 ที่มี 4.3 พันล้านบาท แต่กำไรอาจได้รับผลกระทบค่าไฟฟ้า-ค่าเงินปรับตัวเพิ่มขึ้น มั่นใจปีนี้รายได้เพิ่ม 25% จากปีก่อน ด้านผู้บริหาร แจง มิ.ย.นี้ออกหุ้นกู้ 1 พันล้านบาท คาดทั้งปีออกรวมไม่เกิน 3 พันล้านบาท
น.ส.นภารัตน์ ศรีวรรณวิทย์ ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายการเงิน บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) หรือ CPN เปิดเผยว่า บริษัทคาดว่าผลประกอบการไตรมาส 2/55 คาดว่าจะปรับตัวเพิ่มขึ้นดีกว่าไตรมาส 1/55 ที่มีรายได้รวม 4.3 พันล้านบาท เนื่องจากบริษัทได้เปิดศูนย์การค้าใหม่เป็นไปตามแผน กำลังซื้อของผู้บริโภคดีอยู่ และบริษัทได้ปรับค่าเช่าเพิ่มขึ้นในช่วงที่ผ่านมา ขณะที่กำไรสุทธิ บริษัทจะได้รับผลกระทบจากค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นจากค่าแรง 300 บาท และค่าไฟฟ้าที่ปรับตัวสูงขึ้น ซึ่งจะมีผลต่ออัตรากำไร (มาร์จิ้น) ของบริษัท ขณะที่บริษัทได้บริหารเพื่อให้กำไรเติบโตในอัตราเดิม
ทั้งนี้ บริษัทคาดว่า อัตรากำไรก่อนหักภาษีเงินได้และค่าเสื่อม (ebitda margin) จะเกิน 50% ซึ่งจะดีกว่าปี 52 เล็กน้อย จากในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา บริษัทได้รับผลกระทบจากปัญหาทางการเมือง ทำให้อิบิตดามาร์จิ้นของบริษัทปรับตัวลดลง แต่ยังคงเป้าหมายรายได้ปีนี้จะโต 25% จากปี 54 ที่มีรายได้รวม 1.34 หมื่นล้านบาท เนื่องจากการเปิดศูนย์การค้าใหม่ทำได้ตามแผน และปรับขึ้นค่าเช่าในพื้นที่ศูนย์การค้า โดยเฉพาะสาขาลาดพร้าวที่มีอัตราการเช่าเต็ม 100% สาขาพระราม 9 มีอัตราการเช่า 98% ศูนย์เซ็นทรัลเวิลด์ มีอัตรา 97% โดยจะมีแบรนด์ใหม่เข้ามา 2-3 แบรนด์ ทำให้เป็นห้างที่ครบวงจรทั้งเรื่องอาหาร และแฟชั่น
โดยบริษัทจะเปิดศูนย์การค้าใหม่ปีนี้อีก 3 แห่ง ซึ่งสาขาอุดรธานี เปิดไปแล้วเมื่อต้นปี และไตรมาส 4/55 จะเปิดสาขาที่สุราษฎร์ธานี และลำปาง โดยบริษัทคาดว่ารายได้จากสาขาเดิมปีนี้จะเติบโต 7-8% โดยไตรมาส 1/55 เติบโต 8.2% เชื่อว่าช่วงที่เหลือของปีไม่น่าจะต่ำกว่า 7-8%
นอกจากนี้ บริษัทจะปรับสัญญาเช่าพื้นที่ระยะยาวที่ครบสัญญาให้เป็นสัญญาระยะสั้นจากที่มีอัตราค่าเช่าที่สูงกว่าสัญญาระยะยาว ซึ่งที่ผ่านมา บริษัทได้ใช้กลยุทธ์แบบนี้มาแล้ว เพื่อที่จะทำให้บริษัทมีรายได้ และกำไรมากขึ้น ส่วนแผนงานจากนี้ไปถึงปี 58 บริษัทมีนโยบายเปิดศูนย์การค้าใหม่ 2-3 แห่งต่อปี ใช้เงินลงทุนปีละ 1-1.3 หมื่นล้านบาท ส่งผลให้ในปี 58 บริษัทจะมีศูนย์การค้าในเครือครบ 30 แห่ง รวมต่างประเทศ 1 แห่ง จากสิ้นปีนี้อยู่ที่ 20 แห่ง สาขาในต่างประเทศยังอยู่ระหว่างศึกษา แต่หากไม่สามารถสรุปการลงทุนได้บริษัทก็จะเพิ่มสาขาในประเทศแทน ขณะที่โครงการสวมลุมไนท์บาซาร์ อยู่ระหว่างรอรับมอบที่ดิน
สำหรับในเดือนมิถุนายนนี้ บริษัทจะออกหุ้นกู้ 1 พันล้านบาท เพื่อไปชดเชยส่วนหนึ่งของหุ้นกู้ที่จะครบกำหนดไถ่ถอน 4 พันล้านบาท ที่เหลือจะใช้เงินกู้จากสถาบันการเงินไปชำระคืน และในช่วงเดือน ก.ย.-ธ.ค.55 มีแผนจะออกหุ้นกู้อีก 2 พันล้านบาท เพื่อชดเชยหุ้นกู้เดิมที่ครบกำหนดไถ่ถอนเช่นกัน โดยบริษัทอยู่ระหว่างศึกษาที่จะนำอาคารออฟฟิศเซ็นทรัลเวิลด์ขายเข้ากองทุนอสังหาริมทรัพย์กองใหม่ มูลค่าไม่น้อยกว่า 4 พันล้านบาท คาดว่าจะศึกษาเสร็จภายในไตรมาส 3/55
อย่างไรก็ตาม โครงการคอมมูนิตีมอลล์นั้น บริษัทอยู่ระหว่างศึกษาจุดอ่อนจุดแข็งของโครงการ รวมทั้งขนาดโครงการที่ต้องใช้พื้นที่จำนวนมากที่ต้องรองรับความสะดวกลูกค้า ที่จอดรถ การบริหารพื้นที่ในโครงการอย่างมืออาชีพ รวมทั้งภาวะการแข่งขัน ขณะที่การเปิดโครงการเมกะบางนา และ IKEA ที่ผ่านมา ไม่ได้กระทบต่อผู้ใช้บริการของศูนย์การค้าของ CPN บางนา เพราะมีฐานลูกค้าประจำอยู่แล้ว
น.ส.นภารัตน์ ศรีวรรณวิทย์ ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายการเงิน บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) หรือ CPN เปิดเผยว่า บริษัทคาดว่าผลประกอบการไตรมาส 2/55 คาดว่าจะปรับตัวเพิ่มขึ้นดีกว่าไตรมาส 1/55 ที่มีรายได้รวม 4.3 พันล้านบาท เนื่องจากบริษัทได้เปิดศูนย์การค้าใหม่เป็นไปตามแผน กำลังซื้อของผู้บริโภคดีอยู่ และบริษัทได้ปรับค่าเช่าเพิ่มขึ้นในช่วงที่ผ่านมา ขณะที่กำไรสุทธิ บริษัทจะได้รับผลกระทบจากค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นจากค่าแรง 300 บาท และค่าไฟฟ้าที่ปรับตัวสูงขึ้น ซึ่งจะมีผลต่ออัตรากำไร (มาร์จิ้น) ของบริษัท ขณะที่บริษัทได้บริหารเพื่อให้กำไรเติบโตในอัตราเดิม
ทั้งนี้ บริษัทคาดว่า อัตรากำไรก่อนหักภาษีเงินได้และค่าเสื่อม (ebitda margin) จะเกิน 50% ซึ่งจะดีกว่าปี 52 เล็กน้อย จากในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา บริษัทได้รับผลกระทบจากปัญหาทางการเมือง ทำให้อิบิตดามาร์จิ้นของบริษัทปรับตัวลดลง แต่ยังคงเป้าหมายรายได้ปีนี้จะโต 25% จากปี 54 ที่มีรายได้รวม 1.34 หมื่นล้านบาท เนื่องจากการเปิดศูนย์การค้าใหม่ทำได้ตามแผน และปรับขึ้นค่าเช่าในพื้นที่ศูนย์การค้า โดยเฉพาะสาขาลาดพร้าวที่มีอัตราการเช่าเต็ม 100% สาขาพระราม 9 มีอัตราการเช่า 98% ศูนย์เซ็นทรัลเวิลด์ มีอัตรา 97% โดยจะมีแบรนด์ใหม่เข้ามา 2-3 แบรนด์ ทำให้เป็นห้างที่ครบวงจรทั้งเรื่องอาหาร และแฟชั่น
โดยบริษัทจะเปิดศูนย์การค้าใหม่ปีนี้อีก 3 แห่ง ซึ่งสาขาอุดรธานี เปิดไปแล้วเมื่อต้นปี และไตรมาส 4/55 จะเปิดสาขาที่สุราษฎร์ธานี และลำปาง โดยบริษัทคาดว่ารายได้จากสาขาเดิมปีนี้จะเติบโต 7-8% โดยไตรมาส 1/55 เติบโต 8.2% เชื่อว่าช่วงที่เหลือของปีไม่น่าจะต่ำกว่า 7-8%
นอกจากนี้ บริษัทจะปรับสัญญาเช่าพื้นที่ระยะยาวที่ครบสัญญาให้เป็นสัญญาระยะสั้นจากที่มีอัตราค่าเช่าที่สูงกว่าสัญญาระยะยาว ซึ่งที่ผ่านมา บริษัทได้ใช้กลยุทธ์แบบนี้มาแล้ว เพื่อที่จะทำให้บริษัทมีรายได้ และกำไรมากขึ้น ส่วนแผนงานจากนี้ไปถึงปี 58 บริษัทมีนโยบายเปิดศูนย์การค้าใหม่ 2-3 แห่งต่อปี ใช้เงินลงทุนปีละ 1-1.3 หมื่นล้านบาท ส่งผลให้ในปี 58 บริษัทจะมีศูนย์การค้าในเครือครบ 30 แห่ง รวมต่างประเทศ 1 แห่ง จากสิ้นปีนี้อยู่ที่ 20 แห่ง สาขาในต่างประเทศยังอยู่ระหว่างศึกษา แต่หากไม่สามารถสรุปการลงทุนได้บริษัทก็จะเพิ่มสาขาในประเทศแทน ขณะที่โครงการสวมลุมไนท์บาซาร์ อยู่ระหว่างรอรับมอบที่ดิน
สำหรับในเดือนมิถุนายนนี้ บริษัทจะออกหุ้นกู้ 1 พันล้านบาท เพื่อไปชดเชยส่วนหนึ่งของหุ้นกู้ที่จะครบกำหนดไถ่ถอน 4 พันล้านบาท ที่เหลือจะใช้เงินกู้จากสถาบันการเงินไปชำระคืน และในช่วงเดือน ก.ย.-ธ.ค.55 มีแผนจะออกหุ้นกู้อีก 2 พันล้านบาท เพื่อชดเชยหุ้นกู้เดิมที่ครบกำหนดไถ่ถอนเช่นกัน โดยบริษัทอยู่ระหว่างศึกษาที่จะนำอาคารออฟฟิศเซ็นทรัลเวิลด์ขายเข้ากองทุนอสังหาริมทรัพย์กองใหม่ มูลค่าไม่น้อยกว่า 4 พันล้านบาท คาดว่าจะศึกษาเสร็จภายในไตรมาส 3/55
อย่างไรก็ตาม โครงการคอมมูนิตีมอลล์นั้น บริษัทอยู่ระหว่างศึกษาจุดอ่อนจุดแข็งของโครงการ รวมทั้งขนาดโครงการที่ต้องใช้พื้นที่จำนวนมากที่ต้องรองรับความสะดวกลูกค้า ที่จอดรถ การบริหารพื้นที่ในโครงการอย่างมืออาชีพ รวมทั้งภาวะการแข่งขัน ขณะที่การเปิดโครงการเมกะบางนา และ IKEA ที่ผ่านมา ไม่ได้กระทบต่อผู้ใช้บริการของศูนย์การค้าของ CPN บางนา เพราะมีฐานลูกค้าประจำอยู่แล้ว
