xs
xsm
sm
md
lg

แนวโน้มธุรกิจถ่านหินในไทยมีโอกาสโตสูง หลังน้ำมันแพง-รง.นิวเคลียร์สะดุด-แอลพีจีขยับราคา

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ผู้ประกอบการ คาดแนวโน้มการใช้ถ่านหินในไทยมีโอกาสปรับตัวเพิ่มขึ้น เป็นไปในทิศทางเดียวกับทั่วโลก หลังราคาน้ำมันแพง-โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ชะลอตัว ส่วนแนวโน้มในไทย คาดได้รับอานิสงส์จาก “แอลพีจี” ลอยตัว ขณะที่เทคโนโลยีสามารถจัดการมลพิษจากถ่านหินได้ดีขึ้น EARTH เตรียมแต่งตัวเข้า SET หลังผลดำเนินงานเข้าเกณฑ์

นายขจรพงศ์ คำดี กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอ็นเนอร์ยี่ เอิร์ธ จำกัด (มหาชน) หรือ EARTH เปิดเผยถึงแนวโมธุรกิจพลังงานจากถ่านหินที่กำลังเติบโตสูงแทนที่พลังงานชนิดอื่น โดยยอมรับว่า ราคาถ่านหินปีนี้ปรับเพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วร้อยละ 5 เป็นการปรับขึ้นตามทิศทางราคาน้ำมัน โดยถ่านหินคุณภาพสูงราคาอยู่ที่ 100-120 ดอลลาร์ต่อตัน

“ขณะนี้ ทั่วโลกมีความต้องการถ่านหินมากขึ้น เกิดจากหลายปัจจัย เช่น จีนซึ่งเคยเป็นผู้ส่งออกถ่านหินรายใหญ่ของโลก มีปัญหาเรื่องความปลอดภัยของเหมือง จึงหยุดส่งออกและกลายเป็นผู้นำเข้ารายใหญ่ และการที่โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ของญี่ปุ่นประสบปัญหาสึนามิ ส่งผลให้ทั่วโลกทบทวนการก่อสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ จึงมีการใช้ถ่านหินเพื่อผลิตไฟฟ้าเพิ่มขึ้น เพราะราคาถูกกว่าน้ำมัน และก๊าซธรรมชาติ และมีสำรองยาวนานถึง 200 ปี”

ส่วนในประเทศไทยการที่รัฐบาลเดินหน้าลอยตัวแอลพีจีภาคอุตสาหกรรม ซึ่งเบื้องต้นได้ปรับขึ้น 12 บาท/กิโลกรัม มีผลให้โรงงานอุตสาหกรรมหันมาใช้ถ่านหินทดแทนแอลพีจี โดยปัจจุบัน โรงงานในประเทศไทยที่มีบอยเลอร์ (หม้อต้มน้ำอุตสาหกรรม) มีประมาณ 6,500 แห่ง มีการใช้ถ่านหินแล้ว 500 แห่ง คาดว่าจะมีการทยอยปรับเปลี่ยนมาใช้ถ่านหิน

ทั้งนี้ ตามระบบมาตรฐานของกรมโรงงานอุตสาหกรรม พบว่า เทคโนโลยีที่ควบคุมการใช้ถ่านหินจะไม่ส่งผลกระทบทำให้เกิดมลพิษ และเกิดการปลดปล่อยก๊าซกำมะถันแต่อย่างใด เช่นเดียวกับโรงไฟฟ้าที่มีเทคโนโลยีควบคุมได้ ซึ่งเรื่องนี้ ขึ้นอยู่กับการชี้แจงและการยอมรับของภาคประชาชน เพราะหากโรงไฟฟ้าถ่านหินเกิดขึ้นได้ จะมีผลต่อต้นทุนค่าไฟฟ้ามีอัตราต่ำเมื่อเทียบกับต้นทุนก๊าซธรรมชาติเหลว (แอลเอ็นจี) ที่ไทยต้องนำเข้าจากต่างประเทศ

สำหรับในส่วนของ EARTH ตั้งเป้าหมายยอดขายถ่านหินปีนี้ 3.2 ล้านตัน รายได้ประมาณ 8,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วร้อยละ 70 ที่มียอดขายถ่านหิน 1.9 ล้านตัน รายได้ 4,700 ล้านบาท โดยมีการจำหน่ายในต่างประเทศร้อยละ 80 ในประเทศร้อยละ 20 ลูกค้าหลักเป็นโรงไฟฟ้าของรัฐวิสาหกิจจีนซึ่งมีสัญญาซื้อขาย 7.4 ล้านตันใน 5 ปี

ล่าสุด ได้เจรจาเพื่อขยายลูกค้าในจีน อินเดีย เกาหลีใต้ และไต้หวัน โดยเมื่อเร็วๆ นี้ได้ลงนามกับเชตินัทผู้ผลิตไฟฟ้าในอินเดีย ตกลงซื้อขายถ่านหิน 8.5 ล้านตัน เริ่มเดือนพฤศจิกายน 2556

ดังนั้น ในช่วงนี้ทางบริษัทจึงเร่งเจรจาเพื่อหาเหมืองถ่านหินใหม่ในอินโดนีเซีย เพิ่มเติมจากที่ปัจจุบันมี 2 เหมือง กำลังผลิตสำรองประมาณ 7.4 ล้านตัน โดยเหมืองใหม่ต้องการกำลังผลิตสำรอง 30-50 ล้านตัน ระยะเวลาทำเหมืองประมาณ 10 ปี

ส่วนวงเงินลงทุนจะเป็นเท่าใดนั้น ขึ้นอยู่กับระยะทางของเหมืองกับท่าเรือส่งออก หากยิ่งไกลราคาจะถูกลง และหากบริษัทจำเป็นต้องกู้เพิ่มเพื่อลงทุน ก็จะดูแลไม่ให้สัดส่วนหนี้ต่อทุนเกิน 2 ต่อ 2 จากปัจจุบัน อยู่ 1.23 ต่อ 1

สำหรับความคืบหน้าการย้ายเข้าไปจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) จากปัจจุบัน ที่บริษัทจดทะเบียนอยู่ในตลาดเอ็ม เอ ไอ (mai) ขณะนี้ อยู่ระหว่างขั้นตอนการศึกษา และพิจารณาถึงข้อดีและข้อเสีย อย่างไรก็ตาม บริษัทมีกำไรต่อเนื่อง และเข้าเกณฑ์ที่ SET กำหนดแล้ว แต่จะต้องรอประกาศผลประกอบการในปีนี้ให้ครบทั้ง 4 ไตรมาสก่อน คาดว่า จะมีการประชุมคณะกรรมการบริษัทเพื่อพิจารณาตัดสินใจการเข้าจดทะเบียนใน SET ต่อไป
กำลังโหลดความคิดเห็น