โพลนักวิเคราะห์หุ้นฯ 9% มั่นใจไทยเข้มแข็งช่วยฟื้น ศก.ได้จริง ส่วนอีก 91% มั่นใจปานกลาง หลังยกทีมเข้าฟังข้อมูลเชิงลึกจาก รมว.คลัง พร้อมเตือนระวังการลงทุนในหุ้นรับเหมาบางตัวที่ได้รับประโยชน์จากโครงการรัฐ เพราะราคาปรับขึ้นล่วงหน้าไปสูงมากแล้ว พร้อมแสดงความกังวลภาวะฟองสบู่ ในระยะ 9-12 เดือนข้างหน้า หากแบงก์ชาติยังคงนโยบาย ดบ.ต่ำ
นายสมบัติ นราวุฒิชัย เลขาธิการ สมาคมนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ กล่าวว่า นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่มีความเห็นโดยรวมในปฏิบัติการไทยเข้มแข็งปี 2555 โดยมั่นว่า จะช่วยให้เศรษฐกิจของประเทศพื้นตัวและภาคเอกชนขยายการลงทุนเพิ่มขึ้น หลังจากสมาคมฯ ได้นำคณะนักวิเคราะห์หลักทรัพย์รับฟังข้อมูลจากนายกรณ์ จาติกวณิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคลัง โดยตรงเมื่อวันที่ 11 กันยายน 2552 ที่ผ่านมา
ทั้งนี้ จากการสำรวจความเห็นนักวิเคราะห์ 23 คนในประเด็นความมั่นใจโดยรวม พบว่า 91% มั่นใจในระดับปานกลาง และอีก 9% ระบุว่ามั่นใจมาก
เลขาธิการสมาคมนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ กล่าวอีกว่า นักวิเคราะห์บางส่วนเมื่อรับฟังความชัดเจนของแผนการลงทุนแล้วประมาณ 4-5 ราย นำกลับไปปรับเป้าหมายผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) ปี 2553 เพิ่มขึ้นเฉลี่ยร้อยละ 1 แต่ยังมองว่าปัญหาการเมืองยังมีความเสี่ยงสูง อาจทำให้โครงการบางส่วนไม่สามารถเดินหน้าต่อไปได้โดยเฉพาะถ้าหากเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทยกลับมาทรุดตัว แต่ขณะนี้ยังมีแนวโน้มที่ดีว่าเศรษฐกิจเริ่มดีขึ้น
ส่วนสิ่งที่นักวิเคราะห์กังวล คือ โครงการไทยเข้มแข็งจะสามารถเดินหน้าต่อไปจนถึงปี 2555 ได้หรือไม่ หากการเมืองมีการเปลี่ยนแปลง โดยสัดส่วนร้อยละ 43 มีความมั่นใจน้อย มั่นใจปานกลาง ร้อยละ 48 มั่นใจมากเพียงร้อยละ 4 แต่ถือว่าการตอบแบบสอบถามของนักวิเคราะห์โดยเฉลี่ยมั่นใจในโครงการลงทุนไทยเข้มแข็ง เพราะทั้งจากการสรรหาแหล่งเงินทุน ขั้นตอนการใช้เงิน เชื่อว่าโครงการน่าจะเห็นผลเป็นรูปธรรม แม้จะมีการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลก็อาจมีพรรคร่วมรัฐบาลไปเป็นรัฐบาลชุดต่อไป และส่วนใหญ่ก็จะนำโครงการเดิมไปปัดฝุ่นหรือเดินหน้าต่อ มีเพียงการเปลี่ยนแปลงชื่อโครงการเท่านั้น ดังนั้น โครงการลงทุนนี้ย่อมส่งผลดีต่อเศรษฐกิจ
สำหรับหุ้นที่จะได้รับประโยชน์จากปฏิบัติการไทยเข้มแข็งมากที่สุดนั้น นักวิเคราะห์ระบุตรงกันหลายคน ได้แก่ หุ้นในกลุ่มผู้รับเหมา และวัสดุก่อสร้างบางบริษัท
แต่อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ราคาหุ้นของหลายบริษัทได้ปรับตัวขึ้นสะท้อนปัจจัยบวกจากปฏิบัติการนี้ไปแล้ว ดังนั้น การเข้าไปลงทุนในหุ้นกลุ่มนี้ก็จะต้องใช้ความระมัดระวัง
“หุ้นในกลุ่มเหล่านี้ แม้นักวิเคราะห์คาดว่าจะได้รับประโยชน์จากโครงการต่างๆ ภายใต้ปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง เช่น การก่อสร้าง สาธารณูปโภคเพิ่มเติม รวมถึงการสร้างรถไฟฟ้า และโครงการถนนปลอดฝุ่น อย่างไรก็ตาม ในการพิจารณาเข้าลงทุน ยังต้องดูข้อมูลการวิเคราะห์มูลค่าหุ้นเทียบกับราคาตลาดด้วยว่า เกินมูลค่าไปแล้วหรือไม่"
เลขาธิการสมาคมฯ ยังกล่าวอีกว่า ที่ผ่านมาดัชนี SET ปรับตัวเพิ่มขึ้นมาเกือบ 90% จากจุดต่ำสุดที่ 387 จุดช่วงปลายปีที่แล้ว ซึ่งหากสูงขึ้นถึงระดับ 100% หรือดัชนี SET ที่ระดับ 670 จุด ก็จะเป็นจุดที่มีความเสี่ยงในการลงทุนสูง เพราะอาจจะมีการเทขายทำกำไร และทำให้ดัชนีปรับตัวลดลงอย่างรุนแรง
อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าแม้หุ้นส่วนใหญ่จะมีราคาเกินปัจจัยพื้นฐาน แต่ก็ยังมีหุ้นอีก 40-50% ในตลาดที่ราคาต่ำกว่าปัจจัยพื้นฐาน ซึ่งนักลงทุนก็ควรจะเลือกลงทุนอย่างระมัดระวัง
นายสมบัติ กล่าวว่า ปฏิบัติการไทยเข้มแข็งน่าจะช่วยให้ภาคเอกชนมีการลงทุนต่อเนื่อง แต่ในระยะ 9-12 เดือนอาจจะเกิดภาวะฟองสบู่ได้หากรัฐยังคงนโยบายดอกเบี้ยต่ำ และในช่วงที่ผ่านมาดัชนีตลาดหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างรุนแรง ทำให้นักลงทุนราว 1 แสนคนมีกำไรจากการลงทุนในหุ้น แม้จะช่วยให้มีการใช้จ่ายในประเทศเพิ่มขึ้น แต่บางส่วนใช้จ่ายเกินตัว ซึ่งอาจทำให้เศรษฐกิจประสบกับปัญหาฟองสบู่ได้