“ศาลปกครองสูงสุด” กลับคำสั่งศาลปกครองกลาง ไฟเขียวกรมสรรพสามิตแต่งตั้ง ขรก.ระดับ 8 ชี้ “ช.นันท์” ออกประกาศคัดเลือก ขรก.ก่อนได้รับแต่งตั้งเป็นรองปลัดคลังและรักษาการอธิบดีสรรพสามิต แถม พ.ร.บ.ปฏิบัติราชการทางปกครองยังคุ้มครองการกระทำ
วานนี้ (23 ก.ค.) ศาลปกครองสูงสุด ได้มีคำสั่งกลับคำสั่งศาลปกครองกลาง ที่กำหนดมาตรการคุ้มครองเพื่อบรรเทาทุกข์ชั่วคราวก่อนมีคำพิพากษา โดยให้ยกเลิกการสั่งระงับการดำเนินการแต่งตั้งบุคคลผู้ได้รับการคัดเลือก เพื่อเลื่อนเป็นข้าราชการพลเรือนสามัญระดับ 8 ตามประกาศ กรมสรรพสามิต ฉบับลงวันที่ 11 ต.ค.2550 ที่ นาย ช.นันท์ เพ็ชญไพศิษฏ์ รองปลัดกระทรวงการคลัง รักษาราชการแทนอธิบดีกรมสรรพสามิต ในขณะนั้นได้ออกประกาศ
ทั้งนี้ คดีดังกล่าวสืบเนื่อง นายทวี ไกรนรา พร้อมพวกรวม 13 คน ยื่นฟ้องอธิบดีกรมสรรพสามิต ต่อศาลปกครองกลางเมื่อวันที่ 6 พ.ย.2551 ขอให้มีคำพิพากษาเพิกถอนประกาศกรมสรรพสามิต เรื่องรับสมัครคัดเลือกเพื่อเลื่อนข้าราการพลเรือนสามัญ ขื้นแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งในระดับ 8 ฉบับลงวันที่ 11 ต.ค.2550 เนื่องจากไม่ชอบด้วยกฎหมาย เพราะขณะที่ นาย ช.นันท์ ในฐานะรักษาการอธิบดีกรมสรรพสามิต ออกประกาศดังกล่าว ศาลปกครองได้มีคำสั่งให้พ้นจากตำแหน่ง เนื่องจากได้รับตำแหน่งมาโดยไม่ชอบ และระหว่างที่ศาลยังไม่มีคำพิพากษาก็ขอให้มีคำสั่งระงับการดำเนินการใดๆ ที่ให้ผู้ที่สอบขึ้นบัญชีเป็นระดับ 8 จำนวน 115 คนได้รับแต่งตั้ง ซึ่งศาลปกครองกลางก็ได้มีคำสั่งระงับฯตามที่นายทวี และพวกร้องขอเมื่อวันที่ 22 ธ.ค.2551
ต่อมาอธิบดีกรมสรรพสามิต และผู้มีส่วนได้เสียรวม 22 ราย ได้ยื่นอุทธรณ์คำสั่งระงับดังกล่าวของศาลปกครองกลางต่อศาลปกครองสูงสุด ซึ่งศาลปกครองสูงสุดได้มีคำสั่งยกเลิกคำสั่งระงับดังกล่าว โดยให้เหตุผล ว่า ประกาศกรมสรรพสามิต เรื่องรับสมัครคัดเลือกเพื่อเลื่อนข้าราชการพลเรือนสามัญ ขึ้นแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งในระดับ 8 ฉบับลงวันที่ 11 ต.ค.2550 ที่เป็นเหตุแห่งการฟ้องคดี มีวัตถุประสงค์ เพียงเพื่อให้ข้าราชการสังกัดกรมสรรพสามิต ยื่นใบสมัครเข้ารับเลือกคัดเลือกตามเกณฑ์และวิธีที่กำหนด การที่ประกาศจะก่อให้เกิดความเดือดร้อนเสียหายแก่บุคคลใดบุคคลหนี่ง จนมีสิทธิ์นำคดีมาฟ้องต่อศาลปกครองก็ต้องเป็นประกาศที่มีข้อความลักษณะกีดกันไม่ให้บุคคลนั้นสมัครเข้ารับการคัดเลือก แต่ปรากฏว่า นายทวี และพวก ก็ได้ยื่นใบสมัคร เข้ารับการคัดเลือกตามประกาศดังกล่าว รวมทั้งก็มีชื่ออยู่ในประกาศรายชื่อผู้มีสิทธิ์เข้ารับการคัดเลือก ตลอดจนเข้ารับการทดสอบตามหลักเกณฑ์ และวิธีการคัดเลือกที่กำหนดไว้ในประกาศ จนมีการประกาศผลว่า นายทวี และพวกไม่ผ่านการคัดเลือก จึงเห็นว่าประกาศดังกล่าวไม่ได้ก่อให้เกิดความเดือดร้อนเสียหายจนนายทวีและพวกนำมาเป็นเหตุแห่งการฟ้องคดี
นอกจากนี้ ที่ นายทวี และพวกอ้างว่า การออกประกาศของ นาย ช.นันท์ ไม่ชอบด้วยกฎหมาย เพราะอยู่ในระหว่างที่ศาลปกครองได้มีคำสั่งให้พ้นจากตำแหน่ง เนื่องจากได้รับตำแหน่งมาโดยไม่ชอบนั้น การที่ศาลปกครองสูงสุด มีคำพิพากษาในคดีหมายเลขแดงที่ อ.89/2549 ลงวันที่ 2 พ.ค.2549 ให้เพิกถอนคำสั่งแต่งตั้ง นาย ช.นันท์ ดำรงดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมสรรพากร ซึ่งมีผลทางกฎหมายเพียงว่า นาย ช.นันท์ ขาดคุณสมบัติที่จะดำรงตำแหน่งรองปลัดกระทรวงการคลัง และเป็นผู้รักษาการแทนอธิบดีกรมสรรพสามิต ซึ่งตามมาตรา 19 พ.ร.บ.วิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง 2529 บัญญัติว่า ถ้าปรากฏในภายหลังว่าเจ้าหน้าที่ หรือกรรมการ ในคณะกรรมการที่มีอำนาจพิจารณาทางปกครองใดขาดคุณสมบัติ หรือมีลักษณะต้องห้าม หรือการแต่งตั้งไม่ชอบด้วยกฎหมาย อันเป็นเหตุให้ผู้นั้นต้องพ้นจากตำแหน่ง การพ้นจากตำแหน่งเช่นว่านี้ไม่กระทบกระเทือนถึงการใดที่ผู้นั้นได้ปฏิบัติไปตามอำนาจหน้าที่ ซึ่งตามข้อเท็จจริง นาย ช.นันท์ ได้ออกประกาศก่อนเวลาที่ผู้มีอำนาจแต่งตั้งบุคคลให้ดำรงตำแหน่งรองปลัดกระทรวงการคลัง และแต่งตั้งให้ข้าราชการรักษาแทนอธิบดีกรมสรรพสามิต มีคำสั่งให้ นาย ช.นันท์ พ้นจากตำแหน่งดังกล่าว จึงยังไม่อาจถือได้ว่า ประกาศกรมสรรพสามิต ที่ นาย ช.นันท์ ออก ไม่ชอบด้วยกฎหมาย อีกทั้งถ้าศาลมีคำสั่งระงับการดำเนินการตามประกาศกรมสรรพสามิต ดังกล่าวไว้จนกว่าจะมีคำพิพากษา น่าจะมีผลทำให้กรมสรรพสามิตขาดแคลนข้าราชการ จนอาจก่อให้เกิดอุปสรรคต่อการบริหารราชการของรัฐได้ ศาลปกครองสูงสุด จึงเห็นว่า ด้วยเหตุดังกล่าว ศาลปกครองชั้นต้น ไม่อาจมีคำสั่งกำหนดมาตรการคุ้มครองชั่วคราวก่อนมีคำพิพากษาได้ จึงมีคำพิพากษากลับคำสั่งศาลปกครองชั้นต้น
วานนี้ (23 ก.ค.) ศาลปกครองสูงสุด ได้มีคำสั่งกลับคำสั่งศาลปกครองกลาง ที่กำหนดมาตรการคุ้มครองเพื่อบรรเทาทุกข์ชั่วคราวก่อนมีคำพิพากษา โดยให้ยกเลิกการสั่งระงับการดำเนินการแต่งตั้งบุคคลผู้ได้รับการคัดเลือก เพื่อเลื่อนเป็นข้าราชการพลเรือนสามัญระดับ 8 ตามประกาศ กรมสรรพสามิต ฉบับลงวันที่ 11 ต.ค.2550 ที่ นาย ช.นันท์ เพ็ชญไพศิษฏ์ รองปลัดกระทรวงการคลัง รักษาราชการแทนอธิบดีกรมสรรพสามิต ในขณะนั้นได้ออกประกาศ
ทั้งนี้ คดีดังกล่าวสืบเนื่อง นายทวี ไกรนรา พร้อมพวกรวม 13 คน ยื่นฟ้องอธิบดีกรมสรรพสามิต ต่อศาลปกครองกลางเมื่อวันที่ 6 พ.ย.2551 ขอให้มีคำพิพากษาเพิกถอนประกาศกรมสรรพสามิต เรื่องรับสมัครคัดเลือกเพื่อเลื่อนข้าราการพลเรือนสามัญ ขื้นแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งในระดับ 8 ฉบับลงวันที่ 11 ต.ค.2550 เนื่องจากไม่ชอบด้วยกฎหมาย เพราะขณะที่ นาย ช.นันท์ ในฐานะรักษาการอธิบดีกรมสรรพสามิต ออกประกาศดังกล่าว ศาลปกครองได้มีคำสั่งให้พ้นจากตำแหน่ง เนื่องจากได้รับตำแหน่งมาโดยไม่ชอบ และระหว่างที่ศาลยังไม่มีคำพิพากษาก็ขอให้มีคำสั่งระงับการดำเนินการใดๆ ที่ให้ผู้ที่สอบขึ้นบัญชีเป็นระดับ 8 จำนวน 115 คนได้รับแต่งตั้ง ซึ่งศาลปกครองกลางก็ได้มีคำสั่งระงับฯตามที่นายทวี และพวกร้องขอเมื่อวันที่ 22 ธ.ค.2551
ต่อมาอธิบดีกรมสรรพสามิต และผู้มีส่วนได้เสียรวม 22 ราย ได้ยื่นอุทธรณ์คำสั่งระงับดังกล่าวของศาลปกครองกลางต่อศาลปกครองสูงสุด ซึ่งศาลปกครองสูงสุดได้มีคำสั่งยกเลิกคำสั่งระงับดังกล่าว โดยให้เหตุผล ว่า ประกาศกรมสรรพสามิต เรื่องรับสมัครคัดเลือกเพื่อเลื่อนข้าราชการพลเรือนสามัญ ขึ้นแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งในระดับ 8 ฉบับลงวันที่ 11 ต.ค.2550 ที่เป็นเหตุแห่งการฟ้องคดี มีวัตถุประสงค์ เพียงเพื่อให้ข้าราชการสังกัดกรมสรรพสามิต ยื่นใบสมัครเข้ารับเลือกคัดเลือกตามเกณฑ์และวิธีที่กำหนด การที่ประกาศจะก่อให้เกิดความเดือดร้อนเสียหายแก่บุคคลใดบุคคลหนี่ง จนมีสิทธิ์นำคดีมาฟ้องต่อศาลปกครองก็ต้องเป็นประกาศที่มีข้อความลักษณะกีดกันไม่ให้บุคคลนั้นสมัครเข้ารับการคัดเลือก แต่ปรากฏว่า นายทวี และพวก ก็ได้ยื่นใบสมัคร เข้ารับการคัดเลือกตามประกาศดังกล่าว รวมทั้งก็มีชื่ออยู่ในประกาศรายชื่อผู้มีสิทธิ์เข้ารับการคัดเลือก ตลอดจนเข้ารับการทดสอบตามหลักเกณฑ์ และวิธีการคัดเลือกที่กำหนดไว้ในประกาศ จนมีการประกาศผลว่า นายทวี และพวกไม่ผ่านการคัดเลือก จึงเห็นว่าประกาศดังกล่าวไม่ได้ก่อให้เกิดความเดือดร้อนเสียหายจนนายทวีและพวกนำมาเป็นเหตุแห่งการฟ้องคดี
นอกจากนี้ ที่ นายทวี และพวกอ้างว่า การออกประกาศของ นาย ช.นันท์ ไม่ชอบด้วยกฎหมาย เพราะอยู่ในระหว่างที่ศาลปกครองได้มีคำสั่งให้พ้นจากตำแหน่ง เนื่องจากได้รับตำแหน่งมาโดยไม่ชอบนั้น การที่ศาลปกครองสูงสุด มีคำพิพากษาในคดีหมายเลขแดงที่ อ.89/2549 ลงวันที่ 2 พ.ค.2549 ให้เพิกถอนคำสั่งแต่งตั้ง นาย ช.นันท์ ดำรงดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมสรรพากร ซึ่งมีผลทางกฎหมายเพียงว่า นาย ช.นันท์ ขาดคุณสมบัติที่จะดำรงตำแหน่งรองปลัดกระทรวงการคลัง และเป็นผู้รักษาการแทนอธิบดีกรมสรรพสามิต ซึ่งตามมาตรา 19 พ.ร.บ.วิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง 2529 บัญญัติว่า ถ้าปรากฏในภายหลังว่าเจ้าหน้าที่ หรือกรรมการ ในคณะกรรมการที่มีอำนาจพิจารณาทางปกครองใดขาดคุณสมบัติ หรือมีลักษณะต้องห้าม หรือการแต่งตั้งไม่ชอบด้วยกฎหมาย อันเป็นเหตุให้ผู้นั้นต้องพ้นจากตำแหน่ง การพ้นจากตำแหน่งเช่นว่านี้ไม่กระทบกระเทือนถึงการใดที่ผู้นั้นได้ปฏิบัติไปตามอำนาจหน้าที่ ซึ่งตามข้อเท็จจริง นาย ช.นันท์ ได้ออกประกาศก่อนเวลาที่ผู้มีอำนาจแต่งตั้งบุคคลให้ดำรงตำแหน่งรองปลัดกระทรวงการคลัง และแต่งตั้งให้ข้าราชการรักษาแทนอธิบดีกรมสรรพสามิต มีคำสั่งให้ นาย ช.นันท์ พ้นจากตำแหน่งดังกล่าว จึงยังไม่อาจถือได้ว่า ประกาศกรมสรรพสามิต ที่ นาย ช.นันท์ ออก ไม่ชอบด้วยกฎหมาย อีกทั้งถ้าศาลมีคำสั่งระงับการดำเนินการตามประกาศกรมสรรพสามิต ดังกล่าวไว้จนกว่าจะมีคำพิพากษา น่าจะมีผลทำให้กรมสรรพสามิตขาดแคลนข้าราชการ จนอาจก่อให้เกิดอุปสรรคต่อการบริหารราชการของรัฐได้ ศาลปกครองสูงสุด จึงเห็นว่า ด้วยเหตุดังกล่าว ศาลปกครองชั้นต้น ไม่อาจมีคำสั่งกำหนดมาตรการคุ้มครองชั่วคราวก่อนมีคำพิพากษาได้ จึงมีคำพิพากษากลับคำสั่งศาลปกครองชั้นต้น
