ไม่นึกว่าคนอย่าง ศักดิ์ เตชาชาญ อดีตตุลาการศาลรัฐธรรมนูญในคดีซุกหุ้นของ ทักษิณ ชินวัตร จะออกมาสู้หน้าผู้คนในสังคมกับเขาได้อีก
เพราะวิกฤตของบ้านเมืองทุกวันนี้ ส่วนสำคัญที่สุดเกิดจากคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญในคดีซุกหุ้นของ ทักษิณ ชินวัตร ครั้งนั้นนั่นเอง
ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ 7 เสียง บอกว่า ทักษิณผิดที่เอาหุ้นไปซุกไว้กับคนขับรถ คนเลี้ยงลูก พนักงานรักษาความปลอดภัย
อีก 4 เสียงบอกว่า ไม่ผิด
และอีก 4 เสียงบอกว่า ไม่รับเรื่องไว้พิจารณา
เสร็จแล้วก็ทะลึ่งเอา 4 เสียงที่บอกว่า ไม่ผิด ไปบวกกับ 4 เสียงที่ไม่รับเรื่องนี้ไว้พิจารณา
ปล่อยทักษิณ ชินวัตร ลอยนวลจนกระทั่งมีโอกาสได้ก่อกรรมทำเข็ญกับประเทศชาติบ้านเมือง ดังที่เห็นนี้
ศักดิ์ เตชาชาญ เป็น 1 ใน 4 ที่ไปรวมเป็น 8 เสียง ทำให้ทักษิณรอดไปวันนั้น
วันนี้ ศักดิ์ เตชาชาญ โผล่หน้ามาอีกในฐานะของอนุกรรมการสมานฉันท์ ซึ่งมาในโควตาของพรรคภูมิใจไทย กล่าวในที่ประชุมว่า
“ผมได้สอบถามเบื้องหลังจากเพื่อนฝูงทุกคนเห็นว่า ไม่ควรยุบพรรค ควรลงโทษเฉพาะหัวหน้าพรรค เลขาธิการพรรค และผู้เกี่ยวข้องเท่านั้น แต่พอจะเขียนคำวินิจฉัยปรากฏว่า มีใบสั่ง ซึ่งไม่ทราบว่าจริงหรือไม่จริง แต่พูดว่ามีใบสั่งมาสร้างความสับสนให้ผู้พิพากษาทั้งหมด ที่เห็นด้วยกับผมก็เปลี่ยนความคิด คำวินิจฉัยจึงออกมาน่าเกลียดมาก รวมทั้งการเลือกตั้งเป็นโมฆะ และองค์กรอิสระต่างๆ ก็เป็นใบสั่ง ผลออกมาอย่างที่เขาคาดการณ์ทุกเรื่องได้ 100 เปอร์เซ็นต์ ผมไม่ยอมทำตามใบสั่งจึงไม่เจริญถึงทุกวันนี้ หลายคนที่ทำตามใบสั่งก็เจริญรุ่งเรืองเป็นใหญ่เป็นโต ดังนั้น ต้องหาวิธีพิสูจน์ว่า ใบสั่งมีจริงหรือไม่ ถ้ามีต้องเลิกเด็ดขาด”
ถ้าหากเด็กอมมือพูด ก็ไม่อยากจะเขียนถึงเรื่องนี้หรอกครับ! แต่บังเอิญคนพูดเป็นอดีตตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ เป็นผู้ซึ่งพรรคภูมิใจไทย พรรคร่วมรัฐบาลยกย่องให้เป็นผู้ทรงคุณวุฒิ
ทั้งที่ถ้าหากใช้สติปัญญาอ่านที่ ศักดิ์ เตชาชาญ พูดอีกครั้ง ก็จะเห็นว่าเต็มไปด้วยถ้อยคำที่โกหก มดเท็จ หรือพูดไม่ต่างไปจากผู้คนซึ่งสติปัญญาไม่สมประกอบ พยายามที่จะพูดหรือสื่อสารถึงใครก็ไม่รู้ได้
ศักดิ์ เตชาชาญ พ้นจากตำแหน่งตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ เมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 โดย คมช. ศักดิ์ เตชาชาญ จึงมิใช่องค์คณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญที่พิจารณาคดียุบพรรค และการตัดสินให้การเลือกตั้ง 2 เมษายน 2549 เป็นโมฆะ ก็โดยศาลปกครองมิใช่ศาลรัฐธรรมนูญ
ศักดิ์ เตชาชาญ เมื่อพ้นจากตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ไม่มีสิทธิ ไม่มีโอกาสพิจารณาและตัดสินคดียุบพรรคแล้ว ศักดิ์ เตชาชาญ รู้ได้อย่างไรว่ามีใบสั่ง
ใบสั่งจากใคร มาจากไหน ตรงนี้ต้องพิสูจน์
วิธีที่จะพิสูจน์ง่ายๆ ก็คือ ตุลาการที่พิจารณาคดียุบพรรคไทยรักไทยทั้งหมด ซึ่งมีมติเป็นเอกฉันท์ให้ยุบพรรคไทยรักไทย และพรรคเล็กพรรคน้อยครั้งนั้น สมควรจัดการให้ ศักดิ์ เตชาชาญ พูดออกมาว่า ใบสั่งว่าอย่างไร มาจากไหน
และที่บอกว่า คำวินิจฉัยการเลือกตั้งโมฆะน่าเกลียดมากนั้น ศาลปกครองสูงสุดสมควรที่จะเรียก ศักดิ์ เตชาชาญ ไปชี้แจงให้ศาลปกครองฟังว่า “น่าเกลียดมาก” ของ ศักดิ์ เตชาชาญ นั้นมันน่าเกลียดอย่างไร ไม่เป็นไปตามตัวบทกฎหมายตรงไหน
เว้นเสียแต่ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญทั้ง 9 ท่านที่พิจารณาคดียุบพรรคครั้งโน้นกับศาลปกครอง จะถือคติว่า ไม่ถือคนบ้า ไม่ว่าคนบ๊อง ปล่อยให้เรื่องผ่านไป
เมื่อได้สาดโคลนตูมลงไปว่า การพิจารณาคดียุบพรรคมีใบสั่ง คำพิพากษาคดีเลือกตั้งโมฆะน่าเกลียดมาก ศักดิ์ เตชาชาญ ก็พยายามอย่างยิ่งที่จะอาศัยความเจ้าเล่ห์ ด้วยการตั้งคำถามว่า ต้องหาวิธีพิสูจน์ว่า ใบสั่งมีจริงหรือไม่ ถ้ามีต้องเลิก
เหมือนจะบอกผู้คนทั้งหลายทั้งปวงว่า เรื่องใบสั่ง ศักดิ์ เตชาชาญ ไม่รู้ ไม่เห็น เพียงแต่ ศักดิ์ ได้ยินมา ต้องหาทางพิสูจน์ ถ้าจริงต้องเลิก
เหมือนจะบอกผู้คนทั้งหลายทั้งปวงว่า ศักดิ์ เตชาชาญ นั้นเป็นคนใสซื่อ สะอาด บริสุทธิ์ ผุดผ่อง
ฟังแล้วแทบอาเจียน
ก็ประโยคก่อนหน้านี้ ศักดิ์ เตชาชาญ เป็นคนพูดเองมิใช่หรือว่า
“แต่พอจะเขียนคำวินิจฉัย ปรากฏว่ามีใบสั่ง”
และหลังจากตอแหลด้วยประโยคดังกล่าว ก็ออกตัวว่า “ไม่ทราบว่าจริงหรือไม่จริง”
คนที่ผ่านชีวิตราชการ คนที่กินข้าวมาหลายกระบุงหลายกระสอบ อายุยาวนานจะเข้าโลงวันนี้ วันพรุ่ง จะต้องมีความรับผิดชอบในคำพูดมากกว่านี้ จะต้องซื่อสัตย์ต่อตนเอง ต่อประเทศชาติ และต่อประชาชน
มิใช่พูดพล่อยๆ ขาดความรับผิดชอบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งบ้านเมืองกำลังประสบภาวะวิกฤต เกิดการแตกแยก จนต้องมีคณะกรรมการขึ้นมาหาทางประนีประนอม สมานฉันท์
มิใช่พูดให้เกิดความแตกแยกยิ่งขึ้น
และยิ่งมิใช่พูดเพื่อที่จะเอาอกเอาใจใครบางคนที่กำลังระเหระหนอยู่ต่างประเทศขณะนี้
ศักดิ์ เตชาชาญ อยากเป็นใหญ่เป็นโตอะไรอีกหรือ จึงได้ออกมาตัดพ้อต่อว่า ตนไม่ทำตามใบสั่งจึงไม่เจริญรุ่งเรือง
ที่ได้มาในชีวิตนี้ยังไม่พออีกหรือ?
เพราะวิกฤตของบ้านเมืองทุกวันนี้ ส่วนสำคัญที่สุดเกิดจากคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญในคดีซุกหุ้นของ ทักษิณ ชินวัตร ครั้งนั้นนั่นเอง
ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ 7 เสียง บอกว่า ทักษิณผิดที่เอาหุ้นไปซุกไว้กับคนขับรถ คนเลี้ยงลูก พนักงานรักษาความปลอดภัย
อีก 4 เสียงบอกว่า ไม่ผิด
และอีก 4 เสียงบอกว่า ไม่รับเรื่องไว้พิจารณา
เสร็จแล้วก็ทะลึ่งเอา 4 เสียงที่บอกว่า ไม่ผิด ไปบวกกับ 4 เสียงที่ไม่รับเรื่องนี้ไว้พิจารณา
ปล่อยทักษิณ ชินวัตร ลอยนวลจนกระทั่งมีโอกาสได้ก่อกรรมทำเข็ญกับประเทศชาติบ้านเมือง ดังที่เห็นนี้
ศักดิ์ เตชาชาญ เป็น 1 ใน 4 ที่ไปรวมเป็น 8 เสียง ทำให้ทักษิณรอดไปวันนั้น
วันนี้ ศักดิ์ เตชาชาญ โผล่หน้ามาอีกในฐานะของอนุกรรมการสมานฉันท์ ซึ่งมาในโควตาของพรรคภูมิใจไทย กล่าวในที่ประชุมว่า
“ผมได้สอบถามเบื้องหลังจากเพื่อนฝูงทุกคนเห็นว่า ไม่ควรยุบพรรค ควรลงโทษเฉพาะหัวหน้าพรรค เลขาธิการพรรค และผู้เกี่ยวข้องเท่านั้น แต่พอจะเขียนคำวินิจฉัยปรากฏว่า มีใบสั่ง ซึ่งไม่ทราบว่าจริงหรือไม่จริง แต่พูดว่ามีใบสั่งมาสร้างความสับสนให้ผู้พิพากษาทั้งหมด ที่เห็นด้วยกับผมก็เปลี่ยนความคิด คำวินิจฉัยจึงออกมาน่าเกลียดมาก รวมทั้งการเลือกตั้งเป็นโมฆะ และองค์กรอิสระต่างๆ ก็เป็นใบสั่ง ผลออกมาอย่างที่เขาคาดการณ์ทุกเรื่องได้ 100 เปอร์เซ็นต์ ผมไม่ยอมทำตามใบสั่งจึงไม่เจริญถึงทุกวันนี้ หลายคนที่ทำตามใบสั่งก็เจริญรุ่งเรืองเป็นใหญ่เป็นโต ดังนั้น ต้องหาวิธีพิสูจน์ว่า ใบสั่งมีจริงหรือไม่ ถ้ามีต้องเลิกเด็ดขาด”
ถ้าหากเด็กอมมือพูด ก็ไม่อยากจะเขียนถึงเรื่องนี้หรอกครับ! แต่บังเอิญคนพูดเป็นอดีตตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ เป็นผู้ซึ่งพรรคภูมิใจไทย พรรคร่วมรัฐบาลยกย่องให้เป็นผู้ทรงคุณวุฒิ
ทั้งที่ถ้าหากใช้สติปัญญาอ่านที่ ศักดิ์ เตชาชาญ พูดอีกครั้ง ก็จะเห็นว่าเต็มไปด้วยถ้อยคำที่โกหก มดเท็จ หรือพูดไม่ต่างไปจากผู้คนซึ่งสติปัญญาไม่สมประกอบ พยายามที่จะพูดหรือสื่อสารถึงใครก็ไม่รู้ได้
ศักดิ์ เตชาชาญ พ้นจากตำแหน่งตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ เมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 โดย คมช. ศักดิ์ เตชาชาญ จึงมิใช่องค์คณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญที่พิจารณาคดียุบพรรค และการตัดสินให้การเลือกตั้ง 2 เมษายน 2549 เป็นโมฆะ ก็โดยศาลปกครองมิใช่ศาลรัฐธรรมนูญ
ศักดิ์ เตชาชาญ เมื่อพ้นจากตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ไม่มีสิทธิ ไม่มีโอกาสพิจารณาและตัดสินคดียุบพรรคแล้ว ศักดิ์ เตชาชาญ รู้ได้อย่างไรว่ามีใบสั่ง
ใบสั่งจากใคร มาจากไหน ตรงนี้ต้องพิสูจน์
วิธีที่จะพิสูจน์ง่ายๆ ก็คือ ตุลาการที่พิจารณาคดียุบพรรคไทยรักไทยทั้งหมด ซึ่งมีมติเป็นเอกฉันท์ให้ยุบพรรคไทยรักไทย และพรรคเล็กพรรคน้อยครั้งนั้น สมควรจัดการให้ ศักดิ์ เตชาชาญ พูดออกมาว่า ใบสั่งว่าอย่างไร มาจากไหน
และที่บอกว่า คำวินิจฉัยการเลือกตั้งโมฆะน่าเกลียดมากนั้น ศาลปกครองสูงสุดสมควรที่จะเรียก ศักดิ์ เตชาชาญ ไปชี้แจงให้ศาลปกครองฟังว่า “น่าเกลียดมาก” ของ ศักดิ์ เตชาชาญ นั้นมันน่าเกลียดอย่างไร ไม่เป็นไปตามตัวบทกฎหมายตรงไหน
เว้นเสียแต่ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญทั้ง 9 ท่านที่พิจารณาคดียุบพรรคครั้งโน้นกับศาลปกครอง จะถือคติว่า ไม่ถือคนบ้า ไม่ว่าคนบ๊อง ปล่อยให้เรื่องผ่านไป
เมื่อได้สาดโคลนตูมลงไปว่า การพิจารณาคดียุบพรรคมีใบสั่ง คำพิพากษาคดีเลือกตั้งโมฆะน่าเกลียดมาก ศักดิ์ เตชาชาญ ก็พยายามอย่างยิ่งที่จะอาศัยความเจ้าเล่ห์ ด้วยการตั้งคำถามว่า ต้องหาวิธีพิสูจน์ว่า ใบสั่งมีจริงหรือไม่ ถ้ามีต้องเลิก
เหมือนจะบอกผู้คนทั้งหลายทั้งปวงว่า เรื่องใบสั่ง ศักดิ์ เตชาชาญ ไม่รู้ ไม่เห็น เพียงแต่ ศักดิ์ ได้ยินมา ต้องหาทางพิสูจน์ ถ้าจริงต้องเลิก
เหมือนจะบอกผู้คนทั้งหลายทั้งปวงว่า ศักดิ์ เตชาชาญ นั้นเป็นคนใสซื่อ สะอาด บริสุทธิ์ ผุดผ่อง
ฟังแล้วแทบอาเจียน
ก็ประโยคก่อนหน้านี้ ศักดิ์ เตชาชาญ เป็นคนพูดเองมิใช่หรือว่า
“แต่พอจะเขียนคำวินิจฉัย ปรากฏว่ามีใบสั่ง”
และหลังจากตอแหลด้วยประโยคดังกล่าว ก็ออกตัวว่า “ไม่ทราบว่าจริงหรือไม่จริง”
คนที่ผ่านชีวิตราชการ คนที่กินข้าวมาหลายกระบุงหลายกระสอบ อายุยาวนานจะเข้าโลงวันนี้ วันพรุ่ง จะต้องมีความรับผิดชอบในคำพูดมากกว่านี้ จะต้องซื่อสัตย์ต่อตนเอง ต่อประเทศชาติ และต่อประชาชน
มิใช่พูดพล่อยๆ ขาดความรับผิดชอบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งบ้านเมืองกำลังประสบภาวะวิกฤต เกิดการแตกแยก จนต้องมีคณะกรรมการขึ้นมาหาทางประนีประนอม สมานฉันท์
มิใช่พูดให้เกิดความแตกแยกยิ่งขึ้น
และยิ่งมิใช่พูดเพื่อที่จะเอาอกเอาใจใครบางคนที่กำลังระเหระหนอยู่ต่างประเทศขณะนี้
ศักดิ์ เตชาชาญ อยากเป็นใหญ่เป็นโตอะไรอีกหรือ จึงได้ออกมาตัดพ้อต่อว่า ตนไม่ทำตามใบสั่งจึงไม่เจริญรุ่งเรือง
ที่ได้มาในชีวิตนี้ยังไม่พออีกหรือ?