ที่ศาลปกครองกลาง ถ.แจ้งวัฒนะ เมื่อเวลา 13.30 น. วานนี้ (13พ.ค.) นายวิชัย ชื่นชมพูนุช ตุลาการศาลปกครองสูงสุด พร้อมองค์คณะได้ไต่สวนคดีละเมิดอำนาจศาล หมายเลขดำที่ ล.1/2552 ที่นายสุวพงษ์ จั่นฝังเพ็ชร บรรณาธิการผู้พิมพ์ผู้โฆษณาหนังสือพิมพ์มติชน พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผบ.ตร. เป็นผู้ถูกกล่าวหาที่1–2 สืบเนื่องจากนสพ.มติชนรายวัน ฉบับวันอังคารที่ 21 เม.ย.52 หน้า2 ตีพิมพ์บทความ"คำแถลง สนง.ตร.แจงเหตุคดีเหลือง– แดง" ทำนองว่า "ดีสเตชั่น ถูกจับกุมดำเนินคดีในข้อหาผิดพ.ร.ก.ฉุกเฉิน ส่วนเอเอสทีวี มีข้อจำกัดไม่สามารถจับกุมดำเนินคดีได้ เนื่องจากได้รับความคุ้มครองตามคำสั่งศาลปกครองสูงสุด"
โดยก่อนการไต่สวน ศาลชี้แจงว่า การเรียกทั้งสองมาไต่สวนไม่ได้เกิดจากความโกรธแค้นหรือไม่ และศาลเชื่อโดยสุจริตว่าทั้งสองก็ไม่ได้มีความโกรธแค้นศาลเช่นกัน แต่การเรียกมาในวันนี้ เนื่องจากมีการลงบทความในนสพ.มติชนรายวัน เมื่อวันที่ 21 เม.ย.52 ที่มีผู้ถูกกล่าวหาที่1 เป็นบก.นสพ. ซึ่งมีข้อความสื่อไปในทางว่า ศาลปกครองใช้อำนาจมิชอบ ช่วยเหลือเอเสทีวี จนเจ้าหน้าที่ดำเนินคดีไม่ได้ และยังคงคุ้มครองจนถึงวันที่ลงข่าว ทั้งจริงแล้วศาลไม่ได้คุ้มครองเอเอสทีวี จนเจ้าหน้าที่ดำเนินคดีอะไรไม่ได้ แต่เป็นเรื่องสัญญาที่ผู้ให้เช่าบอกเลิกมิชอบ ที่หากมีการยกเลิกสัญญาทันที ผู้เช่าจะได้รับความเดือดร้อน เมื่อมีสัญญาเช่าอยู่ก็ต้องให้ความคุ้มครอง และบรรเทาทุกข์แต่ไม่ได้หมายความว่า เอเอสทีวีจะไปกระทำผิดอะไร
ต่อมาเมื่อปี 2551 ศาลมีคำสั่งยกเลิกไปแล้ว ซึ่งเรื่องนี้สื่อมีส่วนทำให้ประชาชนเข้าใจว่า ศาลช่วยเอเอสทีวี บางคนพูดกันว่าเป็นศาลพันธมิตรฯ จึงต้องทำความจริงเรื่องนี้ให้ปรากฏโดยศาลจะให้คู่กรณีทั้ง 2 คน แถลงข้อเท็จจริงด้วยวาจา และศาลจะการบันทึกภาพและเสียง
ทั้งนี้ภายหลังเมื่อศาลแจ้งให้คู่กรณีทั้งสองทราบเกี่ยวกับวัตถุประสงค์การเรียกมาไต่สวนแล้ว พล.ต.อ.พัชรวาท ผบ.ตร.ผู้ถูกกล่าวหาที่ 2 จึงเข้าชี้แจงระบุว่า ไม่เคยให้สคริปต์คำแถลงกับหนังสือพิมพ์ และที่คณะตำรวจแถลงเหตุการณ์ และคดีความต่างๆนั้นเป็นไปตามนโยบายของนายกรัฐมนตรี ซึ่งมีการมอบหมายให้ส่วนราชการที่รับผิดชอบไปดูรายละเอียด และทำคำชี้แจง อย่างไรก็ตาม อะไรที่ทำให้ศาลปกครองเสียหาย ตนรู้สึกเสียใจและไม่สบายใจ โดยยืนยันว่าไม่มีเจตนาความคิดที่จะหมิ่นศาล
เมื่อศาลถามว่ามีสคริปต์จริงหรือไม่ พล.ต.อ.พัชรวาท ชี้แจงว่า เป็นคำชี้แจงที่กองต่างๆ อาทิ บช.ภ.1 , 2 และบช.น. จัดทำมา ไม่ใช่สคริปต์ แต่เป็นภาพรวมของการแถลง เมื่อศาลถามว่าได้อ่านคำสั่งศาลเกี่ยวกับการคุ้มครอง เอเอสทีวีหรือไม่ พล.ต.อ.พัชรวาท ผบ.ตร.กล่าวว่า ไม่ได้อ่าน แต่ให้เจ้าหน้าที่เป็นผู้ศึกษารายละเอียด ซึ่งจริงๆ แล้วจะให้บช.น.แถลงข้อเท็จจริงให้ทราบ แต่เกรงว่า จะกระทบศาลอีก จึงมารอให้การในวันนี้
เมื่อศาลถามว่า ยอมรับหรือไม่ว่าเนื้อหาดังกล่าวทำให้ศาลปกครองเสียหาย พล.ต.อ.พัชรวาท กล่าวว่า อาจเป็นไปตามที่ศาลมีความเห็น
ขณะที่นายสุวพงษ์ บก.มติชน ผู้ถูกกล่าวหาที่ 1 ชี้แจงระบุว่านสพ.มติชน ปฏิบัติหน้าที่โดยตระหนักถึงการเคารพศาล กระบวนการยุติธรรม โดยนำเสนอข่าวด้วยความระมัดระวังว่าจะเป็นการละเมิดอำนาจศาลมาโดยตลอด เหตุที่เกิดขึ้นผู้สื่อข่าวประจำตร. ทราบว่าจะมีการแถลงของผบ.ตร.ในคืนวันที่ 20 เม.ย. ที่ผ่านมา เมื่อผู้สื่อข่าวได้สคริปต์มาซึ่งตนพร้อมจะยื่นเป็นหลักฐานต่อศาล ผู้สื่อข่าวได้ตรวจสอบสคริปต์กับคำแถลงของผบ.ตร. พบว่าตรงกัน โดยนอกจากนสพ.มติชนแล้ว ยังมี สทท.11 , นสพ.ไทยรัฐ และเดลินิวส์ เผยแพร่ข้อความดังกล่าวด้วย โดยวันที่แถลงข่าว มีผบ.ตร. และคณะแถลง ซึ่งมีความน่าเชื่อถือ ซึ่งในวันรุ่งขึ้นยังไม่ทราบข้อเท็จจริงทั้งหมด โดยมาทราบชัดเจนในวันที่ 4 พ.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งฝ่ายประชาสัมพันธ์ ศาลปกครองได้เผยแพร่เอกสาร และบทความระบุว่าศาลปกครองไม่ได้คุ้มครองเอเอสทีวีแล้ว ซึ่งนสพ.มติชน ได้นำเสนอข่าวนี้ทันที เพื่อให้สาธารณชนทราบ
เมื่อศาลถามว่า ทราบหรือไม่ว่า ศาลคุ้มครองเอเอสทีวี เรื่องอะไร นายสุวพงษ์ ตอบว่าคุ้มครองให้สามารถเผยแพร่ภาพออกอากาศได้ เมื่อศาลถามว่า เป็นการคุ้มครองให้เอเอสทีวี สามารถทำผิดกฎหมายอาญาได้หรือไม่ นายสุวพงษ์กล่าวว่าไม่ได้คุ้มครองให้กระทำผิดทางอาญาได้
หลังจากที่นายสุวพงษ์ ชี้แจงเสร็จสิ้นแล้ว ศาลได้กล่าวเตือนนายสุวพงษ์ ให้ไปดูและตรวจสอบคำสั่งศาลให้ดีว่าศาลคุ้มครองเรื่องไม่ให้ตัดสัญญาณ ไม่ได้ให้เอเอสทีวีทำผิดกฎหมายอาญาได้ อย่างไรก็ตาม ศาลไม่ติดใจว่าทั้งสองจะมีเจตนาให้ร้ายศาล แต่การลงบทความดังกล่าวทำให้สาธารณชนเข้าใจว่า เอเอสทีวี เป็นเทวดา ทำอะไรก็ได้ไม่ถูกจับ เป็นการทำให้ศาลเสียหาย และถูกใส่ร้าย เพราะต่อไปหากจะพูดถึงคำสั่งของศาลคำสั่งไหนต้องระมัดระวังตรวจสอบว่ามีคำสั่งนั้นจริงหรือไม่ ถ้าหากไม่มีจะเป็นการละเมิดอำนาจศาล ซึ่งกรณีนี้ศาลเสียหาย และขอให้ผู้ถูกกล่าวหาที่1 ไปแก้ข่าว รวมทั้งให้ผู้ถูกกล่าวหาที่ 2 ชี้แจงผู้ใต้บังคับบัญชาว่าไม่มีคำสั่งคุ้มครองเอเอสทีวีแล้ว
โดยศาลนัดฟังคำสั่งคดีนี้ ในวันที่19 พ.ค.นี้ เวลา 15.00 น. ชั้น 3 พ้องพิจารณาคดีที่12
ภายหลังการชี้แจง พล.ต.อ.พัชรวาท กล่าวว่า กรณีดังกล่าวถือเป็นบทเรียนที่ต้องแก้ไข และระมัดระวังต่อไป ซึ่งหากศาลจะมีคำสั่งออกมาเช่นไร ตำรวจก็พร้อมจะน้อมรับ
โดยก่อนการไต่สวน ศาลชี้แจงว่า การเรียกทั้งสองมาไต่สวนไม่ได้เกิดจากความโกรธแค้นหรือไม่ และศาลเชื่อโดยสุจริตว่าทั้งสองก็ไม่ได้มีความโกรธแค้นศาลเช่นกัน แต่การเรียกมาในวันนี้ เนื่องจากมีการลงบทความในนสพ.มติชนรายวัน เมื่อวันที่ 21 เม.ย.52 ที่มีผู้ถูกกล่าวหาที่1 เป็นบก.นสพ. ซึ่งมีข้อความสื่อไปในทางว่า ศาลปกครองใช้อำนาจมิชอบ ช่วยเหลือเอเสทีวี จนเจ้าหน้าที่ดำเนินคดีไม่ได้ และยังคงคุ้มครองจนถึงวันที่ลงข่าว ทั้งจริงแล้วศาลไม่ได้คุ้มครองเอเอสทีวี จนเจ้าหน้าที่ดำเนินคดีอะไรไม่ได้ แต่เป็นเรื่องสัญญาที่ผู้ให้เช่าบอกเลิกมิชอบ ที่หากมีการยกเลิกสัญญาทันที ผู้เช่าจะได้รับความเดือดร้อน เมื่อมีสัญญาเช่าอยู่ก็ต้องให้ความคุ้มครอง และบรรเทาทุกข์แต่ไม่ได้หมายความว่า เอเอสทีวีจะไปกระทำผิดอะไร
ต่อมาเมื่อปี 2551 ศาลมีคำสั่งยกเลิกไปแล้ว ซึ่งเรื่องนี้สื่อมีส่วนทำให้ประชาชนเข้าใจว่า ศาลช่วยเอเอสทีวี บางคนพูดกันว่าเป็นศาลพันธมิตรฯ จึงต้องทำความจริงเรื่องนี้ให้ปรากฏโดยศาลจะให้คู่กรณีทั้ง 2 คน แถลงข้อเท็จจริงด้วยวาจา และศาลจะการบันทึกภาพและเสียง
ทั้งนี้ภายหลังเมื่อศาลแจ้งให้คู่กรณีทั้งสองทราบเกี่ยวกับวัตถุประสงค์การเรียกมาไต่สวนแล้ว พล.ต.อ.พัชรวาท ผบ.ตร.ผู้ถูกกล่าวหาที่ 2 จึงเข้าชี้แจงระบุว่า ไม่เคยให้สคริปต์คำแถลงกับหนังสือพิมพ์ และที่คณะตำรวจแถลงเหตุการณ์ และคดีความต่างๆนั้นเป็นไปตามนโยบายของนายกรัฐมนตรี ซึ่งมีการมอบหมายให้ส่วนราชการที่รับผิดชอบไปดูรายละเอียด และทำคำชี้แจง อย่างไรก็ตาม อะไรที่ทำให้ศาลปกครองเสียหาย ตนรู้สึกเสียใจและไม่สบายใจ โดยยืนยันว่าไม่มีเจตนาความคิดที่จะหมิ่นศาล
เมื่อศาลถามว่ามีสคริปต์จริงหรือไม่ พล.ต.อ.พัชรวาท ชี้แจงว่า เป็นคำชี้แจงที่กองต่างๆ อาทิ บช.ภ.1 , 2 และบช.น. จัดทำมา ไม่ใช่สคริปต์ แต่เป็นภาพรวมของการแถลง เมื่อศาลถามว่าได้อ่านคำสั่งศาลเกี่ยวกับการคุ้มครอง เอเอสทีวีหรือไม่ พล.ต.อ.พัชรวาท ผบ.ตร.กล่าวว่า ไม่ได้อ่าน แต่ให้เจ้าหน้าที่เป็นผู้ศึกษารายละเอียด ซึ่งจริงๆ แล้วจะให้บช.น.แถลงข้อเท็จจริงให้ทราบ แต่เกรงว่า จะกระทบศาลอีก จึงมารอให้การในวันนี้
เมื่อศาลถามว่า ยอมรับหรือไม่ว่าเนื้อหาดังกล่าวทำให้ศาลปกครองเสียหาย พล.ต.อ.พัชรวาท กล่าวว่า อาจเป็นไปตามที่ศาลมีความเห็น
ขณะที่นายสุวพงษ์ บก.มติชน ผู้ถูกกล่าวหาที่ 1 ชี้แจงระบุว่านสพ.มติชน ปฏิบัติหน้าที่โดยตระหนักถึงการเคารพศาล กระบวนการยุติธรรม โดยนำเสนอข่าวด้วยความระมัดระวังว่าจะเป็นการละเมิดอำนาจศาลมาโดยตลอด เหตุที่เกิดขึ้นผู้สื่อข่าวประจำตร. ทราบว่าจะมีการแถลงของผบ.ตร.ในคืนวันที่ 20 เม.ย. ที่ผ่านมา เมื่อผู้สื่อข่าวได้สคริปต์มาซึ่งตนพร้อมจะยื่นเป็นหลักฐานต่อศาล ผู้สื่อข่าวได้ตรวจสอบสคริปต์กับคำแถลงของผบ.ตร. พบว่าตรงกัน โดยนอกจากนสพ.มติชนแล้ว ยังมี สทท.11 , นสพ.ไทยรัฐ และเดลินิวส์ เผยแพร่ข้อความดังกล่าวด้วย โดยวันที่แถลงข่าว มีผบ.ตร. และคณะแถลง ซึ่งมีความน่าเชื่อถือ ซึ่งในวันรุ่งขึ้นยังไม่ทราบข้อเท็จจริงทั้งหมด โดยมาทราบชัดเจนในวันที่ 4 พ.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งฝ่ายประชาสัมพันธ์ ศาลปกครองได้เผยแพร่เอกสาร และบทความระบุว่าศาลปกครองไม่ได้คุ้มครองเอเอสทีวีแล้ว ซึ่งนสพ.มติชน ได้นำเสนอข่าวนี้ทันที เพื่อให้สาธารณชนทราบ
เมื่อศาลถามว่า ทราบหรือไม่ว่า ศาลคุ้มครองเอเอสทีวี เรื่องอะไร นายสุวพงษ์ ตอบว่าคุ้มครองให้สามารถเผยแพร่ภาพออกอากาศได้ เมื่อศาลถามว่า เป็นการคุ้มครองให้เอเอสทีวี สามารถทำผิดกฎหมายอาญาได้หรือไม่ นายสุวพงษ์กล่าวว่าไม่ได้คุ้มครองให้กระทำผิดทางอาญาได้
หลังจากที่นายสุวพงษ์ ชี้แจงเสร็จสิ้นแล้ว ศาลได้กล่าวเตือนนายสุวพงษ์ ให้ไปดูและตรวจสอบคำสั่งศาลให้ดีว่าศาลคุ้มครองเรื่องไม่ให้ตัดสัญญาณ ไม่ได้ให้เอเอสทีวีทำผิดกฎหมายอาญาได้ อย่างไรก็ตาม ศาลไม่ติดใจว่าทั้งสองจะมีเจตนาให้ร้ายศาล แต่การลงบทความดังกล่าวทำให้สาธารณชนเข้าใจว่า เอเอสทีวี เป็นเทวดา ทำอะไรก็ได้ไม่ถูกจับ เป็นการทำให้ศาลเสียหาย และถูกใส่ร้าย เพราะต่อไปหากจะพูดถึงคำสั่งของศาลคำสั่งไหนต้องระมัดระวังตรวจสอบว่ามีคำสั่งนั้นจริงหรือไม่ ถ้าหากไม่มีจะเป็นการละเมิดอำนาจศาล ซึ่งกรณีนี้ศาลเสียหาย และขอให้ผู้ถูกกล่าวหาที่1 ไปแก้ข่าว รวมทั้งให้ผู้ถูกกล่าวหาที่ 2 ชี้แจงผู้ใต้บังคับบัญชาว่าไม่มีคำสั่งคุ้มครองเอเอสทีวีแล้ว
โดยศาลนัดฟังคำสั่งคดีนี้ ในวันที่19 พ.ค.นี้ เวลา 15.00 น. ชั้น 3 พ้องพิจารณาคดีที่12
ภายหลังการชี้แจง พล.ต.อ.พัชรวาท กล่าวว่า กรณีดังกล่าวถือเป็นบทเรียนที่ต้องแก้ไข และระมัดระวังต่อไป ซึ่งหากศาลจะมีคำสั่งออกมาเช่นไร ตำรวจก็พร้อมจะน้อมรับ