BSEC ผลงานงวดสิ้นปี 51 กำไรหด 31% เหตุรายได้รวมลด โดยเฉพาะรายได้หลักค่านายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ตก จากปริมาณซื้อขายหลักทรัพย์ที่ลดลง ผลจากปัญหาการเมืองและวิกฤตการเงินในสหรัฐฯกระทบต่อการลงทุนต่อตลาดทุนทั่วโลก
นายประสิทธิ์ ศรีสุวรรณ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ บีฟิท จำกัด (มหาชน) (BSEC) แจ้งผลการดำเนินงานงวดสิ้นปี 51 สิ้นสุด 31 ธันวาคม 2551 (งบเดี่ยว) ว่า บริษัทมีกำไรสุทธิ 96.23 ล้านบาท ลดลงจากงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 139.10 ล้านบาท หรือลดลง 30.82%
เนื่องจากรายได้รวมของบริษัทลดลงจาก 711.47 ล้านบาท ในปี 2550 เป็น 699.77 ล้านบาทในปีปัจจุบัน ลดลง 11.70 ล้านบาท หรือ 1.64 %โดยที่ในปี 2551 รายได้หลักของบริษัทได้แก่ รายได้ค่านายหน้าจากการซื้อขายหลักทรัพย์มีการปรับตัวลดลง 17.59% หรือ 107.35 ล้านบาท เมื่อเปรียบรายได้ 502.87 ล้านบาท ในปี 2551 กับ 610.22 ล้านบาท ในปี 2550 ผลจากปริมาณการซื้อขายหลักทรัพย์ที่ลดลงเมื่อเปรียบเทียบกับปี 2550 ซึ่งได้รับผลกระทบอย่างต่อเนื่องจากปัญหาความไม่แน่นอนทางการเมืองในประเทศ และปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจในประเทศสหรัฐอเมริกาซึ่งส่งผลต่อสภาพการลงทุนในตลาดทุนทั่วโลก
อย่างไรก็ตาม จากนโยบายการกระจายฐานโครงสร้างรายได้ ซึ่งบริษัทได้เริ่มดำเนินธุรกิจนายหน้าซื้อขายสัญญาซื้อขายล่วงหน้าตั้งแต่ช่วงปลายเดือนกันยายน 2551 และมีรายได้ค่านายหน้าสำหรับธุรกรรมในส่วนนี้ 8.10 ล้านบาท สำหรับรายได้ค่าธรรมเนียมและบริการเพิ่มขึ้น 3.93% จาก 24.44 ล้านบาทในปีก่อนหน้าเป็น 25.40 ล้านบาท ในปีปัจจุบัน ทั้งนี้ จากภาวการณ์ของตลาดทุนที่ไม่แน่นอนในระหว่างปี 2551 ทำให้เกิดการชลอตัวของการนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เป็นผลให้อัตราการเพิ่มของรายได้ในธุรกรรมวาณิชธนกิจไม่สูงมากนักในปี 2551 ที่ผ่านมา
ขณะที่บริษัทสามารถรับรู้รายการกำไรจากการซื้อขายหลักทรัพย์ รายได้ดอกเบี้ย และเงินปันผล รวมทั้งรายได้ดอกเบี้ยเงินให้กู้ยืมเพื่อซื้อหลักทรัพย์ล้วนเพิ่มขึ้น ซึ่งแปรผันตามอัตราดอกเบี้ยและปริมาณการซื้อขายหลักทรัพย์ของลูกค้า ส่วนค่าใช้จ่ายรวมของบริษัทเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะการกู้ยืมเงินจากการเริ่มประกอบธุรกรรมนายหน้าซื้อขายสัญญาซื้อขายล่วงหน้าของบริษัท และค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับพนักงานก็ขยับตาม รวมทั้งบันทึกสำรองหนี้สงสัยจะสูญในปีดังกล่าว
นายประสิทธิ์ ศรีสุวรรณ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ บีฟิท จำกัด (มหาชน) (BSEC) แจ้งผลการดำเนินงานงวดสิ้นปี 51 สิ้นสุด 31 ธันวาคม 2551 (งบเดี่ยว) ว่า บริษัทมีกำไรสุทธิ 96.23 ล้านบาท ลดลงจากงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 139.10 ล้านบาท หรือลดลง 30.82%
เนื่องจากรายได้รวมของบริษัทลดลงจาก 711.47 ล้านบาท ในปี 2550 เป็น 699.77 ล้านบาทในปีปัจจุบัน ลดลง 11.70 ล้านบาท หรือ 1.64 %โดยที่ในปี 2551 รายได้หลักของบริษัทได้แก่ รายได้ค่านายหน้าจากการซื้อขายหลักทรัพย์มีการปรับตัวลดลง 17.59% หรือ 107.35 ล้านบาท เมื่อเปรียบรายได้ 502.87 ล้านบาท ในปี 2551 กับ 610.22 ล้านบาท ในปี 2550 ผลจากปริมาณการซื้อขายหลักทรัพย์ที่ลดลงเมื่อเปรียบเทียบกับปี 2550 ซึ่งได้รับผลกระทบอย่างต่อเนื่องจากปัญหาความไม่แน่นอนทางการเมืองในประเทศ และปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจในประเทศสหรัฐอเมริกาซึ่งส่งผลต่อสภาพการลงทุนในตลาดทุนทั่วโลก
อย่างไรก็ตาม จากนโยบายการกระจายฐานโครงสร้างรายได้ ซึ่งบริษัทได้เริ่มดำเนินธุรกิจนายหน้าซื้อขายสัญญาซื้อขายล่วงหน้าตั้งแต่ช่วงปลายเดือนกันยายน 2551 และมีรายได้ค่านายหน้าสำหรับธุรกรรมในส่วนนี้ 8.10 ล้านบาท สำหรับรายได้ค่าธรรมเนียมและบริการเพิ่มขึ้น 3.93% จาก 24.44 ล้านบาทในปีก่อนหน้าเป็น 25.40 ล้านบาท ในปีปัจจุบัน ทั้งนี้ จากภาวการณ์ของตลาดทุนที่ไม่แน่นอนในระหว่างปี 2551 ทำให้เกิดการชลอตัวของการนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เป็นผลให้อัตราการเพิ่มของรายได้ในธุรกรรมวาณิชธนกิจไม่สูงมากนักในปี 2551 ที่ผ่านมา
ขณะที่บริษัทสามารถรับรู้รายการกำไรจากการซื้อขายหลักทรัพย์ รายได้ดอกเบี้ย และเงินปันผล รวมทั้งรายได้ดอกเบี้ยเงินให้กู้ยืมเพื่อซื้อหลักทรัพย์ล้วนเพิ่มขึ้น ซึ่งแปรผันตามอัตราดอกเบี้ยและปริมาณการซื้อขายหลักทรัพย์ของลูกค้า ส่วนค่าใช้จ่ายรวมของบริษัทเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะการกู้ยืมเงินจากการเริ่มประกอบธุรกรรมนายหน้าซื้อขายสัญญาซื้อขายล่วงหน้าของบริษัท และค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับพนักงานก็ขยับตาม รวมทั้งบันทึกสำรองหนี้สงสัยจะสูญในปีดังกล่าว