xs
xsm
sm
md
lg

PRANDAรับพิษเศรษฐกิจสหรัฐฯ ฉุดรายได้หดเน้นขายเฮ้าส์แบรนด์

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

"แพรนด้า" รับยอดส่งออกสหรัฐหด หลังเกิดวิกฤตการเงิน ฉุดรายได้ปีหน้าหด 5% จากปีนี้ใกล้เคียงปี 50 ที่ 4.44 พันล้านบาท เตรียมหันขายสินค้าภายใต้แบรนด์บริษัทมากขึ้นจากเดิมรับจ้างผลิต เหตุเพราะมาร์จิ้นสูงกว่า ยันไม่มีแผนเข้าซื้อหุ้นคืนหวั่นสภาพคล่องหุ้นลด

นางประพีร์ สรไกรกิติกูล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แพรนด้า จิวเวลรี่ จำกัด (มหาชน) ( PRANDA ) เปิดเผยว่า จากสหรัฐอเมริกา มีปัญหาวิกฤตการเงินนั้นส่งผลกระทบต่อกำลังการบริโภคและอุปโภค ซึ่งจะทำให้สัดส่วนการจำหน่ายสินค้าของบริษัทลดลงเหลือ 36% จากปัจจุบันที่มี 40% แม้บริษัทได้ทำการตลาดในประเทศอื่นๆ มากขึ้น เช่น อินเดีย จีน รัสเซีย ตะวันออกลาง เยอรมัน แต่ยังไม่สามารถที่จะเข้ามาชดเชยรายได้ที่ลดลงในสหรัฐฯ ได้

ทั้งนี้ ส่งผลให้รายได้ของบริษัทในปี52 ลดลง 5% จากปีนี้ที่คาดว่าจะมีรายได้ใกล้เคียงกับปี2550 ที่มีรายได้รวม 4,445.33 ล้านบาท แต่ถือว่าเป็นสัดส่วนที่ลดลงต่ำกว่าอุตสาหกรรมที่มีการลดลงถึง 20% และบริษัทมีแผนจะเพิ่มสัดส่วนการจำหน่ายสินค้าภายใต้แบรนด์บริษัทมากขึ้น จากปีนี้ที่มี 22% เนื่องจากมีอัตรากำไรขั้นต้น (มาร์จิ้น) สูงถึง 35-40% จากมาร์จิ้นในการรับจ้างผลิตมีเพียง 30-35% และบริษัทคาดว่าใน 5 ปีข้างหน้าจะมีสัดส่วนการจำหน่ายสินค้าภายใต้แบรนด์ตนเองเพิ่มเป็น 50%

"บริษัทได้รับผลกระทบเดือนตุลาคมที่ผ่านมาจากที่สหรัฐมีปัญหาสถาบันการเงินนั้น ส่งผลกระทบต่อยอดขายของบริษัทปรับตัวลดลงไปจนถึงสิ้นเดือนธ.ค.นี้ แต่จากที่ 9 เดือนบริษัทมีรายได้ที่ดีมากสูงกว่าเป้านั้น ทำให้รายได้รวมปีนี้ของบริษัทใกล้เคียงกับปีก่อน แต่หากเป็นงบเฉพาะของบริษัทจะโต 5% จากปี ก่อน" นางประพีร์ กล่าว

สำหรับแนวโน้มราคาทองคำในปีหน้าคาดว่าจะเคลื่อนไหวอยู่ที่ระดับ 600-900 เหรียญสหรัฐต่อออนซ์ แต่คาดว่าจะไม่ถึงระดับ 1,000 ซึ่งเชื่อว่าราคาทองจะไม่เปลี่ยนแปลงที่รุนแรงมากนัก ซึ่งบริษัทจะพยายามในการลดต้นทุนในการดำเนินงานบริษัท โดยที่จะไม่มีการลดจำนวนพนักงาน โดยปีหน้าบริษัทจะมีการขยายตลาดมากขึ้น โดยจะใช้งบลงทุนไม่เกิน 10% ของรายได้รวม

นางประพีร์ กล่าวว่า แม้รายได้ปีหน้าของบริษัทจะลดลงนั้นแต่บริษัทยังคงนโยบายในการจ่ายเงินปันผลในระดับ 10% ของกำไรสุทธิ เพราะในช่วง 17 ปีที่ผ่านมาบริษัทมีการจ่ายเงินปันผลมาโดยตลอดโดยใช้เงินประมาณ 200-300 ล้านบาท

สำหรับการที่ราคาหุ้นของบริษัทปรับตัวลดลงต่ำกว่ามูลค่าทางบัญชีนั้น บริษัทยังไม่มีแผนที่จะเข้าไปซื้อหุ้นคืนเนื่องจาก หากเข้าไปซื้อหุ้นคืนจะทำให้สภาพคล่องหุ้นของบริษัทลดลง ขณะที่ผู้ถือหุ้นต่างประเทศนั้นก็ยังไม่มีการขายหุ้นของบริษัทออกไป
กำลังโหลดความคิดเห็น