เลขาฯสมาคมค้าทองคำ ชี้ราคาทองปีหน้าแตะ 1500-2000 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ ส่วนสิ้นปีนี้เห็นระดับ 1000 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ มากกว่าปรับตัวลดลง ระบุการบริโภคทองคำปรับเปลี่ยนจากการเป็นเครื่องประดับ มาเป็นการเก็งกำไร และออมมากขึ้น พร้อมแนะนักลงทุนปรับพอร์ตให้ความสำคัญทองคำเพิ่ม หลังปีที่ผ่านมาสร้างผลตอบแทนในรูปเงินบาทสูงถึง 28% ในขณะที่ตลาดหุ้นติดลบ
นพ.กฤชรัตน์ หิรัณยศิริ รองเลขาธิการสมาคมค้าทองคำ กล่าวว่า แนวโน้มราคาทองคำในปีนี้น่าจะมีการปรับตัวสูงขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 1,000 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ ได้ในช่วงสิ้นปีนี้ ส่วนในปีหน้าคาดว่าจะมีการปรับตัวสูงขึ้นถึงระดับ 1500-2000 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ เนื่องจากราคาทองคำจะสัมพันธ์กับราคาน้ำมัน โดยมีค่าเฉลี่ยเป็นตัวชี้วัดคือ ประมาณ 10% หมายความว่าหากราคน้ำมันในปัจจุบันอยู่ในระดับ 130 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรลล์แล้ว ราคาทองคำควรจะอยู่ที่ 1,300 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ ด้วยเช่นกัน ซึ่งขณะนี้ค่าเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 7% และเป็นระดับที่นักวิเคราะห์มองว่าต่ำไป
อย่างไรก็ตามหากราคาน้ำมันมีการปรับตัวลดลง ราคาทองคำจะปรับตัวลดลงเช่นกัน ซึ่งแนวรับของราคาทองคำน่าจะอยู่ที่ประมาณ 850 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ หากต่ำกว่านั้นจะไม่ดีต่อนักลงทุน เนื่องจากราคระดับดังกล่าวถือเป็นขาลง และอาจจะลดต่ำลงอย่างต่อเนื่องได้ในระยะยาว
“ต้องเข้าใจมัน แต่เชื่อว่าโอกาสที่จะขึ้นไปแตะ 1 พันดอลลาร์/ออนซ์ในช่วงปลายปีนี้น่าจะสูงกว่าปรับตัวลงไปที่ระดับ 700 คือถ้าคิดในแง่ความเสี่ยงถือว่าช่วงนี้น่าจะเป็นช่วงที่ลงทุนได้
นพ.กฤชรัตน์ กล่าวอีกว่า สถาการณ์การบริโภคการค้าทองคำภายในประเทศมีทั้งการนำเข้า และการรับซื้อคืนจากผู้บริโภค ซึ่งจะมีการเก็งกำไรภายในประเทศตามสถานการณ์ หากราคาทองมีการปรับตัวสูงขึ้นจะมีการขายออกมา แล้วผู้ค้าจะรับซื้อเอาไว้ส่งออก
“ทองคำถือเป็นตัวช่วยของคนบ้างคน ซึ่งหากสังเกตให้ดีในช่วงวิกฤตปี 40 ประเทศไทยมีการขายทองคำออกมาเยอะมาก ทำให้ทองคำเป็นสินทรัพย์ประเภทหนึ่งที่น่าลงทุนเป็นอย่างยิ่ง และยิ่งเป็นการลงทุนในช่วง 5 ปีนี้จะไม่ทำให้ผิดหวัง”นพ.กฤชรัตน์กล่าว
สำหรับการที่ราคาทองคำมีการปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมานั้น การปรับตัวของราคาส่วนหนึ่งจะมาจากปัจจัยของเศรษฐกิจโลก และการชะลอตัวของเศรษฐกิจในประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งราคาทองคำมักจะปรับตัวในทิศทางตรงกันข้ามกับการชะลอตัว กล่าวคือเมื่อไรที่เศรษฐกิจแย่ราคาทองคำจะสูงขึ้นนั่นเอง
ทั้งนี้ ทำให้การลงทุนในทองคำถือเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับการลงทุนในช่วงนี้ เนื่องจากเป็นที่ทราบกันดีว่า การชะลอของเศรษฐกิจในประเทศสหรัฐจะยังคงยืดเยื้อต่อไป อีกทั้งการปรับตัวของทองคำที่พยายามสร้างความหลากหลายจากคอมมิวนิตี้มาร์เก็ต มาร์อยู่ในตลาดหุ้นทำให้จะมีช่องทาง และเกิดการลงทุนได้มากขึ้น
“ทองคำเดิมขึ้นอยู่กับดีมาน และซับพลาย แต่ยุคนี้ แต่เมื่อราคาขึ้นเรื่อย ดีมานจากจิวเวอร์รี่กลับลด ซึ่งที่ผ่านมาลดลงกว่า 200% แต่สิ่งที่มาเพิ่มเป็นแง่ของการลงทุนเก็งกำไร กลับมีตัวเลขที่ขึ้นมามหาศาล ซึ่งมาจากรูปแบบการเซพวิ่งด้วยทองคำมากขึ้นนั่นเอง”นพ.กฤชรัตน์กล่าว
นพ.กฤชรัตน์ กล่าวอีกว่า การลงทุนในทองระยะยาวถือเป็นสิ่งที่น่าสนใจ ส่วนในระยะสั้นนั้นต้องขึ้นอยู่กับความรู้ และความสามารถของแต่ละบุคคล ซึ่งราคาทองคำในระยะยาวยังอยู่ในช่วงขาขึ้น ส่วนในระยะสั้นจะแกว่งตัวทั้งขึ้นและลงสลับกันไป
ทั้งนี้ การลงทุนในทองคำเบื้องต้นนักลงทุนต้องทราบก่อนว่า ตนเองรับความเสี่ยงได้มากน้อยขนาดไหน เนื่องจากปัจจุบันราคาทองคำมีการแกว่งตัวอยู่ตลอดเวลา อย่างไรก็ตามผลตอบแทนที่ได้แบบปีต่อปี โดยไม่ต้องคำนึงถึงความผันผวนจะอยู่ในระดับ 8% ต่อปีซึ่งถือว่าสูงพอสมควร
“การลงทุนในทองคำแกว่งตัวมากไม่เหมืนอเมื่อ 5 ปีก่อน แต่ผลตอบแทนที่ได้สูง โดยปีที่ผ่านมาในรูปสกุลเงินบาทอยู่ที่ 24% ส่วนในรูปสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐให้ผลตอบแทนสูงถึง 30% เลยทีเดียว ในขณะที่ตลาดหุ้นติดลบ นี่เป็นเหตุผลที่อยากให้นักลงทุนแบ่งพอร์ตมาลงทุนในทองคำบาง และยิ่งเข้าใจมากก็ควรที่จะลงทุนมากด้วย”นพ.กฤชรัตน์กล่าว
ราคาทองคำในปัจจุบันมีความผันผวนมาก และมีการปรับตัวขึ้นลงวันหนึ่งประมาณ 1-2% ทุกวัน นั้นคือหากเข้าออกถูกจังหวะจะสร้างกำไรได้เป็นจำนวนมาก โดยในทางกลับกันมีโอกาสขาดทุนได้เช่นกันหากเข้าออกไม่ถูกจังหวะ
นายยิ่งยง นิลเสนา รองกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน(บลจ.) กสิกรไทย จำกัด กล่าวว่า การลงทุนในทองคำถือเป็นทางเลือกที่น่าสนใจของนักลงทุน ซึ่งนอกจากจะสามารถสร้างผลตอบแทนจากราคาที่ปรับตัวขึ้นแล้ว ยังมีผลกำไรที่จะได้จากการปรับตัวของค่าเงินด้วย
อย่างไรก็ตามในส่วนของค่าเงินนั้น จะมีทั้งกรณีที่ขาดทุน และกำไรในตัว หากแนวโน้มค่าเงินบาทเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐแข็งขึ้นในอนาคต หากเราขายออกไปแล้วจะมีมูลค่าลดลงเมื่อเปลี่ยนเป็นเงินบาท
นพ.กฤชรัตน์ หิรัณยศิริ รองเลขาธิการสมาคมค้าทองคำ กล่าวว่า แนวโน้มราคาทองคำในปีนี้น่าจะมีการปรับตัวสูงขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 1,000 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ ได้ในช่วงสิ้นปีนี้ ส่วนในปีหน้าคาดว่าจะมีการปรับตัวสูงขึ้นถึงระดับ 1500-2000 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ เนื่องจากราคาทองคำจะสัมพันธ์กับราคาน้ำมัน โดยมีค่าเฉลี่ยเป็นตัวชี้วัดคือ ประมาณ 10% หมายความว่าหากราคน้ำมันในปัจจุบันอยู่ในระดับ 130 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรลล์แล้ว ราคาทองคำควรจะอยู่ที่ 1,300 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ ด้วยเช่นกัน ซึ่งขณะนี้ค่าเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 7% และเป็นระดับที่นักวิเคราะห์มองว่าต่ำไป
อย่างไรก็ตามหากราคาน้ำมันมีการปรับตัวลดลง ราคาทองคำจะปรับตัวลดลงเช่นกัน ซึ่งแนวรับของราคาทองคำน่าจะอยู่ที่ประมาณ 850 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ หากต่ำกว่านั้นจะไม่ดีต่อนักลงทุน เนื่องจากราคระดับดังกล่าวถือเป็นขาลง และอาจจะลดต่ำลงอย่างต่อเนื่องได้ในระยะยาว
“ต้องเข้าใจมัน แต่เชื่อว่าโอกาสที่จะขึ้นไปแตะ 1 พันดอลลาร์/ออนซ์ในช่วงปลายปีนี้น่าจะสูงกว่าปรับตัวลงไปที่ระดับ 700 คือถ้าคิดในแง่ความเสี่ยงถือว่าช่วงนี้น่าจะเป็นช่วงที่ลงทุนได้
นพ.กฤชรัตน์ กล่าวอีกว่า สถาการณ์การบริโภคการค้าทองคำภายในประเทศมีทั้งการนำเข้า และการรับซื้อคืนจากผู้บริโภค ซึ่งจะมีการเก็งกำไรภายในประเทศตามสถานการณ์ หากราคาทองมีการปรับตัวสูงขึ้นจะมีการขายออกมา แล้วผู้ค้าจะรับซื้อเอาไว้ส่งออก
“ทองคำถือเป็นตัวช่วยของคนบ้างคน ซึ่งหากสังเกตให้ดีในช่วงวิกฤตปี 40 ประเทศไทยมีการขายทองคำออกมาเยอะมาก ทำให้ทองคำเป็นสินทรัพย์ประเภทหนึ่งที่น่าลงทุนเป็นอย่างยิ่ง และยิ่งเป็นการลงทุนในช่วง 5 ปีนี้จะไม่ทำให้ผิดหวัง”นพ.กฤชรัตน์กล่าว
สำหรับการที่ราคาทองคำมีการปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมานั้น การปรับตัวของราคาส่วนหนึ่งจะมาจากปัจจัยของเศรษฐกิจโลก และการชะลอตัวของเศรษฐกิจในประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งราคาทองคำมักจะปรับตัวในทิศทางตรงกันข้ามกับการชะลอตัว กล่าวคือเมื่อไรที่เศรษฐกิจแย่ราคาทองคำจะสูงขึ้นนั่นเอง
ทั้งนี้ ทำให้การลงทุนในทองคำถือเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับการลงทุนในช่วงนี้ เนื่องจากเป็นที่ทราบกันดีว่า การชะลอของเศรษฐกิจในประเทศสหรัฐจะยังคงยืดเยื้อต่อไป อีกทั้งการปรับตัวของทองคำที่พยายามสร้างความหลากหลายจากคอมมิวนิตี้มาร์เก็ต มาร์อยู่ในตลาดหุ้นทำให้จะมีช่องทาง และเกิดการลงทุนได้มากขึ้น
“ทองคำเดิมขึ้นอยู่กับดีมาน และซับพลาย แต่ยุคนี้ แต่เมื่อราคาขึ้นเรื่อย ดีมานจากจิวเวอร์รี่กลับลด ซึ่งที่ผ่านมาลดลงกว่า 200% แต่สิ่งที่มาเพิ่มเป็นแง่ของการลงทุนเก็งกำไร กลับมีตัวเลขที่ขึ้นมามหาศาล ซึ่งมาจากรูปแบบการเซพวิ่งด้วยทองคำมากขึ้นนั่นเอง”นพ.กฤชรัตน์กล่าว
นพ.กฤชรัตน์ กล่าวอีกว่า การลงทุนในทองระยะยาวถือเป็นสิ่งที่น่าสนใจ ส่วนในระยะสั้นนั้นต้องขึ้นอยู่กับความรู้ และความสามารถของแต่ละบุคคล ซึ่งราคาทองคำในระยะยาวยังอยู่ในช่วงขาขึ้น ส่วนในระยะสั้นจะแกว่งตัวทั้งขึ้นและลงสลับกันไป
ทั้งนี้ การลงทุนในทองคำเบื้องต้นนักลงทุนต้องทราบก่อนว่า ตนเองรับความเสี่ยงได้มากน้อยขนาดไหน เนื่องจากปัจจุบันราคาทองคำมีการแกว่งตัวอยู่ตลอดเวลา อย่างไรก็ตามผลตอบแทนที่ได้แบบปีต่อปี โดยไม่ต้องคำนึงถึงความผันผวนจะอยู่ในระดับ 8% ต่อปีซึ่งถือว่าสูงพอสมควร
“การลงทุนในทองคำแกว่งตัวมากไม่เหมืนอเมื่อ 5 ปีก่อน แต่ผลตอบแทนที่ได้สูง โดยปีที่ผ่านมาในรูปสกุลเงินบาทอยู่ที่ 24% ส่วนในรูปสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐให้ผลตอบแทนสูงถึง 30% เลยทีเดียว ในขณะที่ตลาดหุ้นติดลบ นี่เป็นเหตุผลที่อยากให้นักลงทุนแบ่งพอร์ตมาลงทุนในทองคำบาง และยิ่งเข้าใจมากก็ควรที่จะลงทุนมากด้วย”นพ.กฤชรัตน์กล่าว
ราคาทองคำในปัจจุบันมีความผันผวนมาก และมีการปรับตัวขึ้นลงวันหนึ่งประมาณ 1-2% ทุกวัน นั้นคือหากเข้าออกถูกจังหวะจะสร้างกำไรได้เป็นจำนวนมาก โดยในทางกลับกันมีโอกาสขาดทุนได้เช่นกันหากเข้าออกไม่ถูกจังหวะ
นายยิ่งยง นิลเสนา รองกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน(บลจ.) กสิกรไทย จำกัด กล่าวว่า การลงทุนในทองคำถือเป็นทางเลือกที่น่าสนใจของนักลงทุน ซึ่งนอกจากจะสามารถสร้างผลตอบแทนจากราคาที่ปรับตัวขึ้นแล้ว ยังมีผลกำไรที่จะได้จากการปรับตัวของค่าเงินด้วย
อย่างไรก็ตามในส่วนของค่าเงินนั้น จะมีทั้งกรณีที่ขาดทุน และกำไรในตัว หากแนวโน้มค่าเงินบาทเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐแข็งขึ้นในอนาคต หากเราขายออกไปแล้วจะมีมูลค่าลดลงเมื่อเปลี่ยนเป็นเงินบาท