“เอ็มเอฟซี” ตัดขายหุ้น “พฤกษา เรียลเอสเตท”ออกจากพอร์ต 0.01% ด้านโบรกเกอรืคาด PS ยอดรับรู้รายได้ในไตรมาส 4 จะดีที่สุดในปีนี้เนื่องจากมีคอนโดมิเนียมรอโอน 2 โครงการและมี Backlogอยู่ 5,485 ล้านบาท ขณะที่ปี 52แม้จะมีการโอนคอนโดมิเนียมถึง 5 โครงกา แต่คาดว่ารายได้จะเริ่มทรงตัวหรือเติบโตเพียง 2%
สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ได้รับแบบรายงานการได้มา/จำหน่ายหลักทรัพย์ของกิจการ (แบบ 246-2) ซึ่งพบว่าได้มีรายงานการจำหน่าย หุ้นของบมจ. พฤกษา เรียลเอสเตท(PS) โดยบริษัทหลักทรัพยืจัดการกองทุน (บลจ.) เอ็มเอฟซี จำกัด (มหาชน) (MFC) ซึ่งเป็นการจำหน่าย เมื่อวันที่ 18/11/2551 ในจำนวนหลักทรัพย์ที่จำหน่ายคิดเป็น -0.01% ของจำนวนหลักทรัพย์ที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมด โดยจำนวนหลักทรัพย์ภายหลังการจำหน่ายคิดเป็น 4.99% ของจำนวนหลักทรัพย์ที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมด
ก่อนหน้านี้ สำนักงานก.ล.ต.รายงานว่าเมื่อวันที่ 17/04/2551 MFC รายงานการได้มา หุ้นของPS จำนวนหลักทรัพย์ที่ได้มาคิดเป็น 0.03% ของจำนวนหลักทรัพย์ที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมด โดยจำนวนหลักทรัพย์ภายหลังการได้มาคิดเป็น 5.0%
ขณะเดียวกัน MFC ได้รายงานการจำหน่ายหุ้น PS เมื่อวันที่ 28 มี.ค.2551 ในจำนวน -0.1% ของจำนวนหลักทรัพย์ที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมด โดยมีจำนวนหลักทรัพย์ภายหลังการจำหน่ายคิดเป็น 4.99% จากเดิมเมื่อวันที่ 11 มีนาคม MFC ได้ทำการซื้อหุ้นPS เข้าในพอร์ตเพิ่มเติม 0.04% จนทำให้ในพอร์ตMFC ถือหุ้น PS รวมทั้งสิ้น 5.02%
ด้านบล.เมอร์ชั่น พาร์ทเนอร์ ให้บทเวิคราะห์ PS ว่าผลประกอบการไตรมาส 3/51 ออกมาค่อนข้างดีมียอดโอน 2,200 หน่วย ทำให้มีรายได้รวม 3,216 ล้านบาท แบ่งเป็นสัดส่วนจากทาวน์เฮ้าส์ 56% บ้านเดี่ยว 42%และคอนโดมิเนียม 2% ทั้งนี้รายได้ลดลง 2%qoqแต่เพิ่มขึ้น 59%yoy
อย่างไรก็ตามยอดขายยังห่างจากเป้าหมายเดิมที่บริษัทตั้งไว้ 20,000 ล้านบาท ทำให้บริษัทปรับลดเป้ายอดขายลงเหลือ18,000 ล้านบาท หมายความว่าบริษัทต้องการยอดขายในไตรมาส 4/51 อีกประมาณ 4,700 ล้านบาท ซึ่งก็มีความเป็นไปได้เนื่องจากในไตรมาส 4/51 บริษัทเตรียมเปิดโครงการใหม่อีก 8 โครงการ มูลค่าทั้งสิ้น 7,700 ล้านบาท แบ่งเป็นทาวน์เฮ้าส์และบ้านเดี่ยว 6 โครงการมูลค่า 4,500 ล้านบาท และโครงการคอนโดมิเนียม 2 โครงการ มูลค่าประมาณ 3,200 ล้านบาท
“เราคาดว่ายอดรับรู้รายได้ในไตรมาส 4/51 จะดีที่สุดในปีนี้เนื่องจากมีโครงการคอนโดมิเนียมรอโอน 2 โครงการและมี Backlogอยู่ 5,485 ล้านบาท อย่างไรก็ตามจากยอดปฏิเสธการให้สินเชื่อจากสถาบันการเงินที่พุ่งสูงขึ้นมาอยู่ที่ประมาณ 30%ในช่วงเดือนต้นไตรมาส 4/51จากไตรมาส 3/51 ที่มียอดปฏิเสธการให้สินเชื่ออยู่ที่ประมาณ 25% ทำให้เราปรับประมาณการรายได้ปีนี้ที่ 12,669 ล้านบาท เติบโตจากปีก่อน 39%ซึ่งมี Backlog หักยอดปฏิเสธสินเชื่อรองรับแล้ว 100% และประโยชน์จากมาตรการทางภาษีอสังหาฯกำไรสุทธิอยู่ที่ 2,171 ล้านบาทเติบโตจากปีก่อน 71% กำไรสุทธิต่อหุ้น 0.97 บาท คาดว่าบริษัทจะจ่ายเงินปันผลในอัตราหุ้นละ 0.28 บาท Dividend Yield 5.8% ขณะที่ปี 52แม้จะมีการโอนโครงการคอนโดมิเนียมถึง 5 โครงการและมี Backlog รองรับแล้ว 7,073 ล้านบาทหรือ 55%ของประมาณการรายได้ที่คาดว่าจะเริ่มทรงตัวหรือเติบโตเพียง 2%อยู่ที่ 12,922 ล้านบาท เนื่องจากความเชื่อมั่นและกำลังซื้อลดลง รวมทั้งมาตรการทางภาษีอสังหาฯที่จะหมดลงในเดือนมี.ค.52 และไม่มีการต่ออายุจะทำให้กำไรสุทธิลดลงประมาณ 4%อยู่ที่ 2,083 ล้านบาท กำไรสุทธิต่อหุ้น 0.93 บาท”
สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ได้รับแบบรายงานการได้มา/จำหน่ายหลักทรัพย์ของกิจการ (แบบ 246-2) ซึ่งพบว่าได้มีรายงานการจำหน่าย หุ้นของบมจ. พฤกษา เรียลเอสเตท(PS) โดยบริษัทหลักทรัพยืจัดการกองทุน (บลจ.) เอ็มเอฟซี จำกัด (มหาชน) (MFC) ซึ่งเป็นการจำหน่าย เมื่อวันที่ 18/11/2551 ในจำนวนหลักทรัพย์ที่จำหน่ายคิดเป็น -0.01% ของจำนวนหลักทรัพย์ที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมด โดยจำนวนหลักทรัพย์ภายหลังการจำหน่ายคิดเป็น 4.99% ของจำนวนหลักทรัพย์ที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมด
ก่อนหน้านี้ สำนักงานก.ล.ต.รายงานว่าเมื่อวันที่ 17/04/2551 MFC รายงานการได้มา หุ้นของPS จำนวนหลักทรัพย์ที่ได้มาคิดเป็น 0.03% ของจำนวนหลักทรัพย์ที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมด โดยจำนวนหลักทรัพย์ภายหลังการได้มาคิดเป็น 5.0%
ขณะเดียวกัน MFC ได้รายงานการจำหน่ายหุ้น PS เมื่อวันที่ 28 มี.ค.2551 ในจำนวน -0.1% ของจำนวนหลักทรัพย์ที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมด โดยมีจำนวนหลักทรัพย์ภายหลังการจำหน่ายคิดเป็น 4.99% จากเดิมเมื่อวันที่ 11 มีนาคม MFC ได้ทำการซื้อหุ้นPS เข้าในพอร์ตเพิ่มเติม 0.04% จนทำให้ในพอร์ตMFC ถือหุ้น PS รวมทั้งสิ้น 5.02%
ด้านบล.เมอร์ชั่น พาร์ทเนอร์ ให้บทเวิคราะห์ PS ว่าผลประกอบการไตรมาส 3/51 ออกมาค่อนข้างดีมียอดโอน 2,200 หน่วย ทำให้มีรายได้รวม 3,216 ล้านบาท แบ่งเป็นสัดส่วนจากทาวน์เฮ้าส์ 56% บ้านเดี่ยว 42%และคอนโดมิเนียม 2% ทั้งนี้รายได้ลดลง 2%qoqแต่เพิ่มขึ้น 59%yoy
อย่างไรก็ตามยอดขายยังห่างจากเป้าหมายเดิมที่บริษัทตั้งไว้ 20,000 ล้านบาท ทำให้บริษัทปรับลดเป้ายอดขายลงเหลือ18,000 ล้านบาท หมายความว่าบริษัทต้องการยอดขายในไตรมาส 4/51 อีกประมาณ 4,700 ล้านบาท ซึ่งก็มีความเป็นไปได้เนื่องจากในไตรมาส 4/51 บริษัทเตรียมเปิดโครงการใหม่อีก 8 โครงการ มูลค่าทั้งสิ้น 7,700 ล้านบาท แบ่งเป็นทาวน์เฮ้าส์และบ้านเดี่ยว 6 โครงการมูลค่า 4,500 ล้านบาท และโครงการคอนโดมิเนียม 2 โครงการ มูลค่าประมาณ 3,200 ล้านบาท
“เราคาดว่ายอดรับรู้รายได้ในไตรมาส 4/51 จะดีที่สุดในปีนี้เนื่องจากมีโครงการคอนโดมิเนียมรอโอน 2 โครงการและมี Backlogอยู่ 5,485 ล้านบาท อย่างไรก็ตามจากยอดปฏิเสธการให้สินเชื่อจากสถาบันการเงินที่พุ่งสูงขึ้นมาอยู่ที่ประมาณ 30%ในช่วงเดือนต้นไตรมาส 4/51จากไตรมาส 3/51 ที่มียอดปฏิเสธการให้สินเชื่ออยู่ที่ประมาณ 25% ทำให้เราปรับประมาณการรายได้ปีนี้ที่ 12,669 ล้านบาท เติบโตจากปีก่อน 39%ซึ่งมี Backlog หักยอดปฏิเสธสินเชื่อรองรับแล้ว 100% และประโยชน์จากมาตรการทางภาษีอสังหาฯกำไรสุทธิอยู่ที่ 2,171 ล้านบาทเติบโตจากปีก่อน 71% กำไรสุทธิต่อหุ้น 0.97 บาท คาดว่าบริษัทจะจ่ายเงินปันผลในอัตราหุ้นละ 0.28 บาท Dividend Yield 5.8% ขณะที่ปี 52แม้จะมีการโอนโครงการคอนโดมิเนียมถึง 5 โครงการและมี Backlog รองรับแล้ว 7,073 ล้านบาทหรือ 55%ของประมาณการรายได้ที่คาดว่าจะเริ่มทรงตัวหรือเติบโตเพียง 2%อยู่ที่ 12,922 ล้านบาท เนื่องจากความเชื่อมั่นและกำลังซื้อลดลง รวมทั้งมาตรการทางภาษีอสังหาฯที่จะหมดลงในเดือนมี.ค.52 และไม่มีการต่ออายุจะทำให้กำไรสุทธิลดลงประมาณ 4%อยู่ที่ 2,083 ล้านบาท กำไรสุทธิต่อหุ้น 0.93 บาท”