วิริยะประกันภัย ขายทิ้งหุ้น N-PARK ที่ถือทั้งหมด 847.15 ล้านหุ้น หรือ 7% ของหุ้นที่จำหน่ายได้ทั้งหมด ขณะที่ ตลาดหลักทรัพย์ฯ ปลดเครื่องหมาย "SP" หลักทรัพย์ของ N-PARK หลังบริษัทแจ้งงบไตรมาส 3 ปีนี้พบขาดทุนลดลง 82.73 ล้านบาทหรือ 6.45 % ส่วนใหญ่เกิดจากการบันทึกประมาณการค่าใช้จ่ายค่าคดีความ และบันทึกผลขาดทุนจากการด้อยค่าของสินทรัพย์เกือบ 700 ล้านบาท ขณะที่รายได้รวมและค่าใช้จ่ายไตรมาสนี้ลดลง
แบบรายงานการได้มาหรือจำหน่ายหลักทรัพย์ของกิจการ (แบบ 246-2)สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ แจ้งว่า บริษัท วิริยะประกันภัย จำกัด ในฐานะผู้ถือหุ้นอันดับที่ 2 ของ บริษัท แนเชอรับ พาร์ค จำกัด (มหาชน)หรือ N-PARKได้มีการขายหุ้นN-PARK ออกมาทั้งหมด จำนวน 847.15 ล้านหุ้น หรือคิดเป็น 7% เมื่อวันที่ 29 ธันวาคม 2551 แต่รายงานต่อก.ล.ต.ในวันที่ 6 ธันวาคม โดยแจ้งว่าเป็นการขายหุ้นโดยตรง ทำให้ภายหลังการขายหุ้นครั้งนี้ ทำให้วิริยะประกันภัย ไม่ได้เป็นผู้ถือหุ้นของ N-PARK
ด้านตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) แจ้งว่าตามที่ตลาดหลักทรัพย์ได้ขึ้นเครื่องหมาย "SP" (Trading Suspension) หลักทรัพย์ของบริษัท แนเชอรัลพาร์ค จำกัด (มหาชน) (N-PARK) สำหรับการซื้อขายหลักทรัพย์รอบเช้าของวันที่ 17 พฤศจิกายน 2551 เป็นต้นไป เนื่องจากบริษัทไม่สามารถนำส่งงบการเงินสิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2551 มายังตลาดหลักทรัพย์ฯภายในเวลาที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ กำหนดนั้น
บัดนี้ บริษัทได้นำส่งงบการเงินดังกล่าวเพื่อเผยแพร่โดยทั่วถึงแล้ว ตลาดหลักทรัพย์ จึงเห็นสมควรปลดเครื่องหมาย "SP" หลักทรัพย์ของ N-PARK ตั้งแต่การซื้อขายหลักทรัพย์รอบเช้าของวันที่ 7 มกราคม 2552 เป็นต้นไป
โดย N-PARK แจ้งงบการเงินไตรมาส 3 ปี 51 ว่าบริษัทมีผลขาดทุนสุทธิ 1,200.53 ล้านบาท ลดลงจากงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีผลขาดทุนสุทธิ 1,283.26 ล้านบาท หรือลดลง 82.73 ล้านบาท คิดเป็นลดลง 6.45 % ขณะที่ไตรมาสนี้บริษัทมีรายได้รวม 55.16 ล้านบาท ลดลง 82.20 ล้านบาท หรือลดลง 59.84 % สำหรับค่าใช้จ่าย (สุทธิส่วนที่เป็นของผู้ถือหุ้นส่วนน้อย) บริษัทมีค่าใช้จ่ายรวม 1,255.70 ล้านบาท ลดลง 164.92 ล้านบาท หรือลดลง 11.61 % จึงส่งผลให้บริษัทมีขาดทุนสุทธิ 1,200.54 ล้านบาท
ทั้งนี้ ผลขาดทุนในไตรมาสที่ 3 ปี 2551 ส่วนใหญ่เกิดจากการบันทึกประมาณการค่าใช้จ่ายจากผลของคดีความ ซึ่งเมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน 2551 บริษัทได้รับคำพิพากษาอย่างเป็นทางการจากศาลแพ่งกรุงเทพใต้ให้บริษัทชำระหนี้บริษัท ไทยสมุทรประกันชีวิต จำกัด บริษัทจึงตั้งสำรองค่าใช้จ่ายจำนวน 385.70 ล้านบาท นอกจากนี้ สภาวะเศรษฐกิจโดยรวมในปัจจุบันส่งผลให้ราคาตลาดของหุ้นบริษัท ฟินันซ่า จำกัด (มหาชน) บริษัท รถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) บริษัทแสนสิริ จำกัด (มหาชน) และบริษัท ซินเท็ค คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) ลดลง และทำให้บริษัทบันทึกผลขาดทุนจากการด้อยค่าของสินทรัพย์จำนวน 667.78 ล้านบาท
ขณะที่ผลงานงวดเก้าเดือนสิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2551 บริษัทมีรายได้รวม 185.86 ล้านบาท ลดลง 665.35 ล้านบาท หรือลดลง 78.16 %สำหรับค่าใช้จ่าย(สุทธิส่วนที่เป็นของผู้ถือหุ้นส่วนน้อย) บริษัทมีค่าใช้จ่ายรวมจำนวน 1,887.09 ล้านบาท ลดลง1,399.41 ล้านบาท หรือลดลง 42.58 %จึงส่งผลทำให้บริษัทมีขาดทุนสุทธิ 1,701.23 ล้านบาท โดยผลขาดทุนส่วนใหญ่เกิดจากการประมาณการค่าใช้จ่ายจากผลของคดีความ และผลขาดทุนจากการด้อยค่าของสินทรัพย์ในไตรมาสที่ 3 ปี 2551 ตามที่กล่าวข้างต้น
โดย ณ วันที่ 30 กันยายน 2551 บริษัทมีสินทรัพย์รวม 3,553.80 ล้านบาท และหนี้สินรวม 3,260 ล้านบาท และมีส่วนของผู้ถือหุ้นรวม 293.79 ล้านบาท
แบบรายงานการได้มาหรือจำหน่ายหลักทรัพย์ของกิจการ (แบบ 246-2)สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ แจ้งว่า บริษัท วิริยะประกันภัย จำกัด ในฐานะผู้ถือหุ้นอันดับที่ 2 ของ บริษัท แนเชอรับ พาร์ค จำกัด (มหาชน)หรือ N-PARKได้มีการขายหุ้นN-PARK ออกมาทั้งหมด จำนวน 847.15 ล้านหุ้น หรือคิดเป็น 7% เมื่อวันที่ 29 ธันวาคม 2551 แต่รายงานต่อก.ล.ต.ในวันที่ 6 ธันวาคม โดยแจ้งว่าเป็นการขายหุ้นโดยตรง ทำให้ภายหลังการขายหุ้นครั้งนี้ ทำให้วิริยะประกันภัย ไม่ได้เป็นผู้ถือหุ้นของ N-PARK
ด้านตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) แจ้งว่าตามที่ตลาดหลักทรัพย์ได้ขึ้นเครื่องหมาย "SP" (Trading Suspension) หลักทรัพย์ของบริษัท แนเชอรัลพาร์ค จำกัด (มหาชน) (N-PARK) สำหรับการซื้อขายหลักทรัพย์รอบเช้าของวันที่ 17 พฤศจิกายน 2551 เป็นต้นไป เนื่องจากบริษัทไม่สามารถนำส่งงบการเงินสิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2551 มายังตลาดหลักทรัพย์ฯภายในเวลาที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ กำหนดนั้น
บัดนี้ บริษัทได้นำส่งงบการเงินดังกล่าวเพื่อเผยแพร่โดยทั่วถึงแล้ว ตลาดหลักทรัพย์ จึงเห็นสมควรปลดเครื่องหมาย "SP" หลักทรัพย์ของ N-PARK ตั้งแต่การซื้อขายหลักทรัพย์รอบเช้าของวันที่ 7 มกราคม 2552 เป็นต้นไป
โดย N-PARK แจ้งงบการเงินไตรมาส 3 ปี 51 ว่าบริษัทมีผลขาดทุนสุทธิ 1,200.53 ล้านบาท ลดลงจากงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีผลขาดทุนสุทธิ 1,283.26 ล้านบาท หรือลดลง 82.73 ล้านบาท คิดเป็นลดลง 6.45 % ขณะที่ไตรมาสนี้บริษัทมีรายได้รวม 55.16 ล้านบาท ลดลง 82.20 ล้านบาท หรือลดลง 59.84 % สำหรับค่าใช้จ่าย (สุทธิส่วนที่เป็นของผู้ถือหุ้นส่วนน้อย) บริษัทมีค่าใช้จ่ายรวม 1,255.70 ล้านบาท ลดลง 164.92 ล้านบาท หรือลดลง 11.61 % จึงส่งผลให้บริษัทมีขาดทุนสุทธิ 1,200.54 ล้านบาท
ทั้งนี้ ผลขาดทุนในไตรมาสที่ 3 ปี 2551 ส่วนใหญ่เกิดจากการบันทึกประมาณการค่าใช้จ่ายจากผลของคดีความ ซึ่งเมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน 2551 บริษัทได้รับคำพิพากษาอย่างเป็นทางการจากศาลแพ่งกรุงเทพใต้ให้บริษัทชำระหนี้บริษัท ไทยสมุทรประกันชีวิต จำกัด บริษัทจึงตั้งสำรองค่าใช้จ่ายจำนวน 385.70 ล้านบาท นอกจากนี้ สภาวะเศรษฐกิจโดยรวมในปัจจุบันส่งผลให้ราคาตลาดของหุ้นบริษัท ฟินันซ่า จำกัด (มหาชน) บริษัท รถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) บริษัทแสนสิริ จำกัด (มหาชน) และบริษัท ซินเท็ค คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) ลดลง และทำให้บริษัทบันทึกผลขาดทุนจากการด้อยค่าของสินทรัพย์จำนวน 667.78 ล้านบาท
ขณะที่ผลงานงวดเก้าเดือนสิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2551 บริษัทมีรายได้รวม 185.86 ล้านบาท ลดลง 665.35 ล้านบาท หรือลดลง 78.16 %สำหรับค่าใช้จ่าย(สุทธิส่วนที่เป็นของผู้ถือหุ้นส่วนน้อย) บริษัทมีค่าใช้จ่ายรวมจำนวน 1,887.09 ล้านบาท ลดลง1,399.41 ล้านบาท หรือลดลง 42.58 %จึงส่งผลทำให้บริษัทมีขาดทุนสุทธิ 1,701.23 ล้านบาท โดยผลขาดทุนส่วนใหญ่เกิดจากการประมาณการค่าใช้จ่ายจากผลของคดีความ และผลขาดทุนจากการด้อยค่าของสินทรัพย์ในไตรมาสที่ 3 ปี 2551 ตามที่กล่าวข้างต้น
โดย ณ วันที่ 30 กันยายน 2551 บริษัทมีสินทรัพย์รวม 3,553.80 ล้านบาท และหนี้สินรวม 3,260 ล้านบาท และมีส่วนของผู้ถือหุ้นรวม 293.79 ล้านบาท