ไทยเบฟเวอเรจ เคาะราคาขายหุ้นพีโอหุ้นละ 4.69 บาท มูลค่าระดมทุน 375.20 ล้านบาท เปิดจอง4-9 ธันวาคมนี้ ด้าน “วิเชฐ” แจงหากบริษัทขายหุ้นแล้วแต่ตลาดหลักทรัพย์ฯไม่ยอมรับเข้าซื้อขายจะถือมีความผิดละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ขณะที่ที่ปรึกษาทางการเงิน คาดเข้าเทรดได้กลางเดือนธ.ค.นี้
แบบแสดงรายการข้อมูล (ไฟลิ่ง) สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) แจ้งว่า บริษัท สิริวนา จำกัด ในฐานะผู้ถือหุ้นใหญ่ บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) หรือเบียร์ช้าง ได้กำหนดราคาเสนอขายหุ้นเพิ่มทุน (PO) ของเบียร์ช้าง จำนวน 80 ล้านบาท มูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) ราคาหุ้นละ 4.69 บาท แก่นักลงทุนไทยเป็นครั้งแรก
ทั้งนี้ ราคาเสนอขายหุ้นครั้งนี้ใช้วิธีกำหนดตามมูลค่าเชิงเปรียบเทียบกับบริษัทอื่นๆที่สามารถอ้างอิง และโดยการอ้างอิงกับราคาหุ้นของไทยเบฟเวอเรจ ที่ทำการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศสิงคโปร์ ซึ่งราคาเฉลี่ยการซื้อขายเดือนพฤศจิกายน อยู่ที่ 0.200 ดอลล่าร์สิงคโปร์ หรือเท่ากับ 4.684 บาท ทั้งนี้ราคาดังกล่าวคิดเป็นอัตราส่วนราคาต่อกำไรสุทธิต่อหุ้น สำหรับผลการดำเนินงานปี 2550 เท่ากับ 11.3 เท่า
สำหรับการเสนอขายหุ้นครั้งนี้บริษัทซึ่งจะได้เงินจากการเสนอขายหุ้นครั้งรวม 375.20 ล้านบาท ซึ่งจะเปิดให้เสนอขายหุ้นแก่นักลงทุนทั่วไปในวันที่ 4 ธันวาคม และวันที่ 8 - 9 ธันวาคม 25551 และนักลงทุนสถาบันในวันที่ 4 และ8 ธันวาคม 2551และบริษัทไทยเบฟเวอเรจจะดำเนินการนำหุ้นสามัญทั้งหมดของบริษัทไทยเบฟเวอเรจเข้าเป็นหลักทรัพย์จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ โดยมีบริษัทหลักทรัพย์ไทยพาณิชญ์ จำกัด และบริษัทหลักทรัพย์ภัทร จำกัด (มหาชน)หรือ PHATRA เป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย
บมจ. ไทยเบฟเวอเรจ ได้จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์สิงคโปร์และเริ่มทำการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศสิงคโปร์ ตั้งแต่วันที่ 30 พฤษภาคม 2549 เป็นต้นมา เมื่อวันที่ 22 ตุลาคม 2551 บริษัทไทยเบฟฯได้ยื่นแบบคำขอรับหุ้นสามัญของบริษัท ไทยเบฟเวอเรจเป็นหลักทรัพย์จดทะเบียนต่อตลาดหลักทรัพย์ฯและยังอยู่ระหว่างการรอผลการพิจารณาของตลาดหลักทรัพยฯ
อย่างไรก็ตาม บริษัทสิริวนา ในฐานผู้ถือหุ้นเดิมของบริษัท ไทยเบฟเวอเรจ มีความประสงค์ที่จะเสนอขายหุ้นสามัญเดิมในครั้งนี้ก่อนที่ บริษัท ไทยเบฟฯจะได้รับทราบผลการพิจารณาของตลาดหลักทรัพย์ฯใ นการรับหุ้นสามัญของบริษัทไทยเบฟเป็นหลักทรัพย์จดทะเบียน จึงยังมีความเสี่ยงที่อาจจะไม่ได้รับอนุญาตจากตลาดหลักทรัพยฺฯ
ทั้งนี้ บล.ไทยพาณิชย์ และบล.ภัทร ในฐานที่ปรึกษาทางการเงินได้พิจารณาคุณสมบัติของบริษัทไทยเบฟฯ แล้วเห็นว่า บริษัทมีคุณสมบัติครบถ้วนตามข้อบังคับของตลาดหลักทรัพย์ฯ เรื่องการรับหุ้นสามัญหรือหุ้นบุริมสิทธิเป็นหลักทรัพย์จดทะเบียนพ.ค. 2544 ฉบับลงวันที่ 22 มกราคม 2544 ที่จะสามารถเข้าจดทะเบียนในตลาดลักทรัพย์ฯได้
สำหรับผลการดำเนินงาน6 เดือนแรกปี2551 บริษัทมีรายได้รวม 51,321.8 ล้านบาท แบ่งเป็น กลุ่มธุรกิจเบียร์มีรายได้จากการขายก่อนรการหักรายการตัดบัญชีระหว่างกลุ่มระหว่างกลุ่มธุรกิจจำนวน 21,272 ล้านบาท และมีรายได้ธุรกิจสุรา จำนวน 28,718.5 ล้านบาท และอื่นๆ ซึ่งมีกำไรสุทธิ 5,019 ล้านบาท โดยปี 2550 บริษัทมีรายได้รวม 49,258.5 ล้านบาท มีกำไรสุทธิ 5,260 ล้านบาท
นายวิเชฐ ตันติวานิช รองผู้จัดการ สายงานการตลาดศูนย์ระดมทุน ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ขณะนี้ตลาดหลักทรัพย์ฯยังไม่ได้รับแจ้งจากบริษัทไทยเบฟเวอเรจในการที่จะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ แต่เท่าที่ทราบคือ ก.ล.ต.ได้อนุมัติแบบแสดงรายการข้อมูล (ไฟลิ่ง) แล้ว ซึ่งตลาดหลักทรัพย์ฯจะเป็นด่านสุดท้ายในการพิจารณาในการรับบริษัทเข้าซื้อขาย
ทั้งนี้ หากบริษัทไทยเบฟฯ มีการเสนอขายหุ้นแก่ประชาชนแล้ว ตลาดหลักทรัพย์ฯ จะต้องทำหน้าที่ในการเพิ่มสภาพคล่องให้กับหุ้นดังกล่าวโดยการเปิดให้ซื้อขาย ซึ่งหากตลาดหลักทรัพย์ฯ ไม่ทำหน้าที่ในการเพิ่มสภาพคล่องให้กับหุ้นดังกล่าวได้จะถือว่าละเว้นการปฏิบัติหน้าที่
ด้านนายอภินันท์ เกลียวปฏินนท์ รองผู้จัดการฝ่ายวาณิชธนกิจ บล.ภัทร กล่าวว่า ขณะนี้ยังไม่สามารถเปิดเผยข้อมูลรายละเอียดอื่นได้ ว่าจะเข้าซื้อขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ฯวันไหน เนื่องจากอยู่ในระบวนการขั้นต้น ส่วนที่เปิดเผยได้นั้นได้แจ้งกับทางก.ล.ต.ไปแล้ว ส่วนการเปิดจองซื้อหุ้นวันแรกในวานนี้ (4 ธ.ค.) นั้นยังไม่สามารถเปิดเผยได้เช่นกัน
ขณะที่แหล่งข่าวจากที่ปรึกษาทางการเงินที่นำบมจ. ไทยเบฟเวอเรจ เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ กล่าวว่า หลังจากที่ปิดจองซื้อหุ้นบมจ.ไทยเบฟเวอเรจ ในวันที่ 9 ธันวาคมนี้แล้ว ขั้นตอนต่อไปบริษัทจะต้องจดทะเบียนต่อกระทรวงพาณิชย์ และคาดว่าสามารถเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้ภายในสัปดาห์กลางเดือนธันวาคม 51 นี้ ซึ่งจะสามารถเพิ่มมูลค่าตามราคาตลาดรวมได้ประมาณ 1 แสล้านบาท
แบบแสดงรายการข้อมูล (ไฟลิ่ง) สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) แจ้งว่า บริษัท สิริวนา จำกัด ในฐานะผู้ถือหุ้นใหญ่ บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) หรือเบียร์ช้าง ได้กำหนดราคาเสนอขายหุ้นเพิ่มทุน (PO) ของเบียร์ช้าง จำนวน 80 ล้านบาท มูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) ราคาหุ้นละ 4.69 บาท แก่นักลงทุนไทยเป็นครั้งแรก
ทั้งนี้ ราคาเสนอขายหุ้นครั้งนี้ใช้วิธีกำหนดตามมูลค่าเชิงเปรียบเทียบกับบริษัทอื่นๆที่สามารถอ้างอิง และโดยการอ้างอิงกับราคาหุ้นของไทยเบฟเวอเรจ ที่ทำการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศสิงคโปร์ ซึ่งราคาเฉลี่ยการซื้อขายเดือนพฤศจิกายน อยู่ที่ 0.200 ดอลล่าร์สิงคโปร์ หรือเท่ากับ 4.684 บาท ทั้งนี้ราคาดังกล่าวคิดเป็นอัตราส่วนราคาต่อกำไรสุทธิต่อหุ้น สำหรับผลการดำเนินงานปี 2550 เท่ากับ 11.3 เท่า
สำหรับการเสนอขายหุ้นครั้งนี้บริษัทซึ่งจะได้เงินจากการเสนอขายหุ้นครั้งรวม 375.20 ล้านบาท ซึ่งจะเปิดให้เสนอขายหุ้นแก่นักลงทุนทั่วไปในวันที่ 4 ธันวาคม และวันที่ 8 - 9 ธันวาคม 25551 และนักลงทุนสถาบันในวันที่ 4 และ8 ธันวาคม 2551และบริษัทไทยเบฟเวอเรจจะดำเนินการนำหุ้นสามัญทั้งหมดของบริษัทไทยเบฟเวอเรจเข้าเป็นหลักทรัพย์จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ โดยมีบริษัทหลักทรัพย์ไทยพาณิชญ์ จำกัด และบริษัทหลักทรัพย์ภัทร จำกัด (มหาชน)หรือ PHATRA เป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย
บมจ. ไทยเบฟเวอเรจ ได้จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์สิงคโปร์และเริ่มทำการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศสิงคโปร์ ตั้งแต่วันที่ 30 พฤษภาคม 2549 เป็นต้นมา เมื่อวันที่ 22 ตุลาคม 2551 บริษัทไทยเบฟฯได้ยื่นแบบคำขอรับหุ้นสามัญของบริษัท ไทยเบฟเวอเรจเป็นหลักทรัพย์จดทะเบียนต่อตลาดหลักทรัพย์ฯและยังอยู่ระหว่างการรอผลการพิจารณาของตลาดหลักทรัพยฯ
อย่างไรก็ตาม บริษัทสิริวนา ในฐานผู้ถือหุ้นเดิมของบริษัท ไทยเบฟเวอเรจ มีความประสงค์ที่จะเสนอขายหุ้นสามัญเดิมในครั้งนี้ก่อนที่ บริษัท ไทยเบฟฯจะได้รับทราบผลการพิจารณาของตลาดหลักทรัพย์ฯใ นการรับหุ้นสามัญของบริษัทไทยเบฟเป็นหลักทรัพย์จดทะเบียน จึงยังมีความเสี่ยงที่อาจจะไม่ได้รับอนุญาตจากตลาดหลักทรัพยฺฯ
ทั้งนี้ บล.ไทยพาณิชย์ และบล.ภัทร ในฐานที่ปรึกษาทางการเงินได้พิจารณาคุณสมบัติของบริษัทไทยเบฟฯ แล้วเห็นว่า บริษัทมีคุณสมบัติครบถ้วนตามข้อบังคับของตลาดหลักทรัพย์ฯ เรื่องการรับหุ้นสามัญหรือหุ้นบุริมสิทธิเป็นหลักทรัพย์จดทะเบียนพ.ค. 2544 ฉบับลงวันที่ 22 มกราคม 2544 ที่จะสามารถเข้าจดทะเบียนในตลาดลักทรัพย์ฯได้
สำหรับผลการดำเนินงาน6 เดือนแรกปี2551 บริษัทมีรายได้รวม 51,321.8 ล้านบาท แบ่งเป็น กลุ่มธุรกิจเบียร์มีรายได้จากการขายก่อนรการหักรายการตัดบัญชีระหว่างกลุ่มระหว่างกลุ่มธุรกิจจำนวน 21,272 ล้านบาท และมีรายได้ธุรกิจสุรา จำนวน 28,718.5 ล้านบาท และอื่นๆ ซึ่งมีกำไรสุทธิ 5,019 ล้านบาท โดยปี 2550 บริษัทมีรายได้รวม 49,258.5 ล้านบาท มีกำไรสุทธิ 5,260 ล้านบาท
นายวิเชฐ ตันติวานิช รองผู้จัดการ สายงานการตลาดศูนย์ระดมทุน ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ขณะนี้ตลาดหลักทรัพย์ฯยังไม่ได้รับแจ้งจากบริษัทไทยเบฟเวอเรจในการที่จะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ แต่เท่าที่ทราบคือ ก.ล.ต.ได้อนุมัติแบบแสดงรายการข้อมูล (ไฟลิ่ง) แล้ว ซึ่งตลาดหลักทรัพย์ฯจะเป็นด่านสุดท้ายในการพิจารณาในการรับบริษัทเข้าซื้อขาย
ทั้งนี้ หากบริษัทไทยเบฟฯ มีการเสนอขายหุ้นแก่ประชาชนแล้ว ตลาดหลักทรัพย์ฯ จะต้องทำหน้าที่ในการเพิ่มสภาพคล่องให้กับหุ้นดังกล่าวโดยการเปิดให้ซื้อขาย ซึ่งหากตลาดหลักทรัพย์ฯ ไม่ทำหน้าที่ในการเพิ่มสภาพคล่องให้กับหุ้นดังกล่าวได้จะถือว่าละเว้นการปฏิบัติหน้าที่
ด้านนายอภินันท์ เกลียวปฏินนท์ รองผู้จัดการฝ่ายวาณิชธนกิจ บล.ภัทร กล่าวว่า ขณะนี้ยังไม่สามารถเปิดเผยข้อมูลรายละเอียดอื่นได้ ว่าจะเข้าซื้อขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ฯวันไหน เนื่องจากอยู่ในระบวนการขั้นต้น ส่วนที่เปิดเผยได้นั้นได้แจ้งกับทางก.ล.ต.ไปแล้ว ส่วนการเปิดจองซื้อหุ้นวันแรกในวานนี้ (4 ธ.ค.) นั้นยังไม่สามารถเปิดเผยได้เช่นกัน
ขณะที่แหล่งข่าวจากที่ปรึกษาทางการเงินที่นำบมจ. ไทยเบฟเวอเรจ เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ กล่าวว่า หลังจากที่ปิดจองซื้อหุ้นบมจ.ไทยเบฟเวอเรจ ในวันที่ 9 ธันวาคมนี้แล้ว ขั้นตอนต่อไปบริษัทจะต้องจดทะเบียนต่อกระทรวงพาณิชย์ และคาดว่าสามารถเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้ภายในสัปดาห์กลางเดือนธันวาคม 51 นี้ ซึ่งจะสามารถเพิ่มมูลค่าตามราคาตลาดรวมได้ประมาณ 1 แสล้านบาท