วิกฤตการเงินโลกฉุดเป้าระดมทุนบริษัทใหม่เข้าตลาดหุ้นวูบ! ทำได้เพียง 18,764 ล้านบาท จากจำนวน 12 ราย เหตุผู้บริหารบริษัทหวั่นระดมทุนไม่ได้ตามเป้าหมาย โดยเอกชนหลายแห่งบอกปัดเลื่อนไปเป็นปีหน้า ด้านตลาดหลักทรัพย์ฯ และเอ็มเอไอ วิ่งล็อบบี้ฝุ่นตลบขอความชัดเจน แต่ยังคาดก่อนสิ้นปีจะมีอีก 2 ราย พร้อมเชื่อปี 52 แบงก์คุมเข้มปล่อยสินเชื่อ บีบเอกชนต้องแต่งตัวเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ เพื่อหวังได้รับความสะดวกกรณีขอกู้เงิน
ดัชนีตลาดหุ้นไทยยังปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง จากความกังวลของนักลงทุนต่อภาวะวิกฤตการเงินโลกที่ยังส่งผลลุกลามต่อตลาดหุ้นทั่วโลก ซึ่งเรื่องดังกล่าวยังได้ส่งผลกระทบต่อการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยของบริษัทขนาดใหญ่หลายบริษัท ทำให้แผนการเข้าซื้อขายหุ้นจำเป็นต้องเลื่อนออกไป เช่นแผนการเข้ากระจายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ฯ ของบริษัท โรงกลั่นสตาร์ปิโตรเลียม รีไฟน์นิ่ง จำกัด ซึ่งได้รับการยืนยันจากผู้บริหารว่า จะต้องเลื่อนออกไปก่อน จากเดิมที่จะเข้าระดมทุนในช่วงไตรมาส 4 ของปีนี้
ทั้งนี้ สืบเนื่องจากสภาพตลาดหลักทรัพย์ฯ และภาวะเศรษฐกิจไม่เอื้ออำนวย ซึ่งเชื่อว่าจากนี้ไปอีก 6 เดือน คงไม่มีบริษัทใดอยากนำหุ้นออกขายในตลาด โดยในส่วนของโรงกลั่นสตาร์ฯ นั้นคงจะต้องเริ่มศึกษาแผนการเข้าตลาดใหม่ในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2552 เสียก่อน
นายวิเชฐ ตันติวานิช รองผู้จัดการ สายงานการตลาดศูนย์ระดมทุน ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ในช่วงที่เหลือของปี 2551 นี้ คาดว่าจะมีบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ และตลาดหลักทรัพย์เอ็มเอไอ (mai) อีกจำนวน 2 บริษัท หลังจากในช่วงที่ผ่านมาภาวะการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ไม่ดีนัก ทำให้บริษัทเอกชนเลื่อนการเข้าจดทะเบียนออกไป เพราะมีปัญหาในเรื่องราคาหุ้น ที่จะทำให้ได้มูลค่าระดมทุนที่ไม่เป็นไปตามเป้าหมายที่กำหนดไว้
“ภาวะตลาดหุ้นที่ไม่เอื้ออำนวย ถือเป็นปัจจัยหลักทำให้บริษัทที่เตรียมตัวจะเข้าจดทะเบียนต้องเลื่อนออกไป เพื่อรอภาวะตลาดที่เหมาะสม เพราะการนำหุ้นออกมาเสนอขายอาจจะได้ราคาต่ำกว่าที่ตั้งเป้าไว้ และอาจทำให้ระดมทุนไม่ได้ตามที่ต้องการ” นายวิเชฐ กล่าว
**เร่งติดต่อทุกบริษัทขอสรุปชัดเจน**
ด้านนายชนิตร ชาญชัยณรงค์ ผู้ช่วยผู้จัดการ สายงานการตลาดศูนย์ระดมทุน และผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) กล่าวว่า ขณะนี้อยู่ระหว่างการติดต่อกับบริษัทที่เตรียมเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ และตลาดเอ็มเอไอ เพื่อขอยืนยันว่าจะเข้าจดทะเบียนในปีนี้หรือไม่ ซึ่งปัจจุบันมีประมาณ 7 บริษัทที่ได้รับอนุมัติจากสำนักลงทุนคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ให้สามารถเสนอขายหุ้นได้ คือ บมจ. ควอลลีเทค, บมจ. เจมาร์ท, บมจ. ไทยโพลีคอนส์, บมจ. สยามโกลบอลเฮ้าส์, บมจ. เอเชีย กรีนเอนเนอจี, บมจ. กรุงเทพประกันชีวิต และบมจ. ผลธัญญะ และในเร็วๆ นี้ คาดว่าก.ล.ต.จะมีการอนุมัติเพิ่มเติมอีก 2-3 บริษัท
ทั้งนี้ จากการหารือพบว่าบริษัทเหล่านี้มีความพร้อมในการเข้าจดทะเบียน ซึ่งรอเพียงภาวะตลาดเอื้ออำนวยเท่านั้น ซึ่งจากที่ผ่านมาภาวะตลาดไม่ดีทำให้มีหลายบริษัทเลื่อนการเข้าระดมทุนออกไป เพราะหากเข้าระดมทุนในช่วงนี้จะทำให้ตั้งราคาเสนอขายลำบากและได้ราคาที่ไม่เหมาะสม นอกจากนี้ประเทศไทยยังได้รับผลกระทบจากปัญหาเศรษฐกิจโลก แล้วปัญหาการเมืองในประเทศที่เป็นปัจจัยลบเข้ามาเพิ่มเติมอีก
“จากภาวะตลาดไม่ดี โดยเฉพาะในช่วงเดือนตุลาคมตลาดหุ้นร่วงหนักมาก ทำให้บริษัทที่เตรียมจะเข้าจดทะเบียนมีการเลื่อนออกไปเพื่อรอภาวะตลาดที่เหมาะสมก่อน ซึ่งในช่วง 1-2 วันนี้ตลาดหลักทรัพย์อยู่ระหว่างที่จะติดต่อกับบริษัทที่มีความพร้อมว่ายังคงต้องการเข้าจดทะเบียนภายในปีนี้หรือไม่”
ปัจจุบันมีบริษัทที่สนใจและตรียมที่จะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ และตลาดเอ็ม เอ ไอ โดยคาดว่าจากนี้จนถึงสิ้นปีจะมีบริษัทยื่นแบบแสดงรายการข้อมูล (ไฟลิ่ง) เพิ่มเติมอีก 4-5 บริษัท จากต้นปีที่ได้มีการยื่นไฟลิ่งทั้ง 2 ตลาดประมาณ 25 บริษัท ซึ่งแสดงว่าบริษัทยังมีความสนใจที่จะเข้าจดทะเบียนอยู่ เพียงแต่รอจังหวะเท่านั้น อีกทั้งปัจจัยที่เข้ามามีผลกระทบล้วนเป็นเรื่องที่ไม่สามารถควบคุมได้ และทางศูนย์ระดมทุนได้ทำหน้าที่ของตนเองอย่างดีที่สุด เพื่อชักชวนให้บริษัทเข้ามาจดทะเบียนเพิ่มขึ้น
**เป้าระดมทุนไม่เป็นไปตามฝัน**
นอกจากนี้ นายชนิตร กล่าวถึง กรณีที่มีผู้ประเมินว่าธนาคารพาณิชย์จะมีการปล่อยกู้ยากขึ้นในปี 2552จากความกังวลในเรื่องความสามารถชำระหนี้ของลูกค้า ว่า ถือเป็นโอกาสที่จะมีบริษัทเข้ามาจดทะเบียนมากขึ้นจากที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ เป็นแหล่งระดมทุน และเมื่อเข้ามาจดทะเบียนแล้วเสร็จจะทำให้บริษัทมีความแข็งแรงทางการเงินมากขึ้น ดังนั้นบริษัทเหล่านี้ต้องการที่จะกู้เงินกับสถาบันเงิน จะทำให้การกู้เงินได้รับความสะดวกมากขึ้นเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม ยอมรับว่าเป้าหมายการเข้าจดทะเบียนในปีนี้คงจะไม่ถึงเป้าหมาย รวมถึงมูลค่าการระดมทุนด้วย โดยปัจจุบันมีการระดมทุนแล้ว 18,764.30 ล้านบาท แบ่งเป็นการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ 9 บริษัท มูลค่าระดมทุน 18,389.30 ล้านบาท และตลาดเอ็มเอไอ จำนวน 3 บริษัท มูลค่าระดมทุน 375 ล้านบาท
**บจ.ใหม่ยังลังเลใจเข้าจดทะเบียน**
นายพนม ควรสถาพร ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เอเชีย กรีน เอนเนอจี จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า หากภาวะตลาดยังไม่ปรับตัวดีขึ้น บริษัทจะเลื่อนการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เอ็มเอไอออกไปเป็นปีหน้า แต่หากภาวะตลาดปรับตัวดีขึ้น บริษัทพร้อมที่จะเข้าจดทะเบียนภายในปีนี้ ซึ่งขณะนี้บริษัทมีความพร้อมในการเข้าจดทะเบียน โดยผลการดำเนินงานของบริษัทมีแนวโน้มที่เติบโตที่ดีมากในปีนี้
นางสาวพัชพร สรรคบุรานุรักษ์ ผู้อำนวยการฝ่ายวาณิชธนกิจ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เคจีไอ จำกัด (มหาชน) หรือ KGI ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินบมจ. ผลธัญญะ กล่าวว่า จากภาวะตลาดในปัจจุบันบริษัทอาจจะเลื่อนจดทะเบียนบมจ. ผลธัญญะออกไปเป็นปีหน้า
ด้านแหล่งข่าว บล.ฟิลลิป (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน บมจ. ควอลีเทค กล่าวว่า ในสัปดาห์นี้จะมีการสรุปว่าจะยังคงเข้าจดทะเบียนหรือเลื่อนออกไป เพราะ ผู้บริหารของบริษัทยังมีความต้องการที่จะเข้าจดทะเบียน เพื่อนำเงินไปชำระค่าเครื่องจักรและอุปกรณ์เพื่อในการขยายการดำเนินธุรกิจ และบริษัทต้องการได้รับสิทธิประโยชน์ทางด้านภาษี ซึ่งหากมีการเลื่อนออกไปเข้าปีหน้าก็จะได้รับลดหย่อนภาษีในปี 2553
ส่วนนายเอกจักร บัวหภักดี ผู้จัดการฝ่ายวาณิชธนกิจ บล.พัฒนสิน ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน บริษัท กรุงเทพประกันชีวิต กล่าวว่า ขณะนี้ยังไม่ได้มีการสรุปว่าจะเข้าจดทะเบียนในปีนี้หรือปีหน้า เพราะเรื่องดังกล่าวขึ้นอยู่กับภาวะตลาด ซึ่งหากภาวะตลาดหุ้นยังไม่ดีขึ้น อาจจะต้องมีการเลื่อนเข้าซื้อขายเป็นปีหน้าแทน เช่นเดียวกับก่อนหน้านี้ที่ บริษัทเจมาร์ท ได้มีการยืนยันว่าจะเลือนเข้าจดทะเบียนเป็นปีหน้าแทน
ดัชนีตลาดหุ้นไทยยังปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง จากความกังวลของนักลงทุนต่อภาวะวิกฤตการเงินโลกที่ยังส่งผลลุกลามต่อตลาดหุ้นทั่วโลก ซึ่งเรื่องดังกล่าวยังได้ส่งผลกระทบต่อการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยของบริษัทขนาดใหญ่หลายบริษัท ทำให้แผนการเข้าซื้อขายหุ้นจำเป็นต้องเลื่อนออกไป เช่นแผนการเข้ากระจายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ฯ ของบริษัท โรงกลั่นสตาร์ปิโตรเลียม รีไฟน์นิ่ง จำกัด ซึ่งได้รับการยืนยันจากผู้บริหารว่า จะต้องเลื่อนออกไปก่อน จากเดิมที่จะเข้าระดมทุนในช่วงไตรมาส 4 ของปีนี้
ทั้งนี้ สืบเนื่องจากสภาพตลาดหลักทรัพย์ฯ และภาวะเศรษฐกิจไม่เอื้ออำนวย ซึ่งเชื่อว่าจากนี้ไปอีก 6 เดือน คงไม่มีบริษัทใดอยากนำหุ้นออกขายในตลาด โดยในส่วนของโรงกลั่นสตาร์ฯ นั้นคงจะต้องเริ่มศึกษาแผนการเข้าตลาดใหม่ในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2552 เสียก่อน
นายวิเชฐ ตันติวานิช รองผู้จัดการ สายงานการตลาดศูนย์ระดมทุน ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ในช่วงที่เหลือของปี 2551 นี้ คาดว่าจะมีบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ และตลาดหลักทรัพย์เอ็มเอไอ (mai) อีกจำนวน 2 บริษัท หลังจากในช่วงที่ผ่านมาภาวะการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ไม่ดีนัก ทำให้บริษัทเอกชนเลื่อนการเข้าจดทะเบียนออกไป เพราะมีปัญหาในเรื่องราคาหุ้น ที่จะทำให้ได้มูลค่าระดมทุนที่ไม่เป็นไปตามเป้าหมายที่กำหนดไว้
“ภาวะตลาดหุ้นที่ไม่เอื้ออำนวย ถือเป็นปัจจัยหลักทำให้บริษัทที่เตรียมตัวจะเข้าจดทะเบียนต้องเลื่อนออกไป เพื่อรอภาวะตลาดที่เหมาะสม เพราะการนำหุ้นออกมาเสนอขายอาจจะได้ราคาต่ำกว่าที่ตั้งเป้าไว้ และอาจทำให้ระดมทุนไม่ได้ตามที่ต้องการ” นายวิเชฐ กล่าว
**เร่งติดต่อทุกบริษัทขอสรุปชัดเจน**
ด้านนายชนิตร ชาญชัยณรงค์ ผู้ช่วยผู้จัดการ สายงานการตลาดศูนย์ระดมทุน และผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) กล่าวว่า ขณะนี้อยู่ระหว่างการติดต่อกับบริษัทที่เตรียมเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ และตลาดเอ็มเอไอ เพื่อขอยืนยันว่าจะเข้าจดทะเบียนในปีนี้หรือไม่ ซึ่งปัจจุบันมีประมาณ 7 บริษัทที่ได้รับอนุมัติจากสำนักลงทุนคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ให้สามารถเสนอขายหุ้นได้ คือ บมจ. ควอลลีเทค, บมจ. เจมาร์ท, บมจ. ไทยโพลีคอนส์, บมจ. สยามโกลบอลเฮ้าส์, บมจ. เอเชีย กรีนเอนเนอจี, บมจ. กรุงเทพประกันชีวิต และบมจ. ผลธัญญะ และในเร็วๆ นี้ คาดว่าก.ล.ต.จะมีการอนุมัติเพิ่มเติมอีก 2-3 บริษัท
ทั้งนี้ จากการหารือพบว่าบริษัทเหล่านี้มีความพร้อมในการเข้าจดทะเบียน ซึ่งรอเพียงภาวะตลาดเอื้ออำนวยเท่านั้น ซึ่งจากที่ผ่านมาภาวะตลาดไม่ดีทำให้มีหลายบริษัทเลื่อนการเข้าระดมทุนออกไป เพราะหากเข้าระดมทุนในช่วงนี้จะทำให้ตั้งราคาเสนอขายลำบากและได้ราคาที่ไม่เหมาะสม นอกจากนี้ประเทศไทยยังได้รับผลกระทบจากปัญหาเศรษฐกิจโลก แล้วปัญหาการเมืองในประเทศที่เป็นปัจจัยลบเข้ามาเพิ่มเติมอีก
“จากภาวะตลาดไม่ดี โดยเฉพาะในช่วงเดือนตุลาคมตลาดหุ้นร่วงหนักมาก ทำให้บริษัทที่เตรียมจะเข้าจดทะเบียนมีการเลื่อนออกไปเพื่อรอภาวะตลาดที่เหมาะสมก่อน ซึ่งในช่วง 1-2 วันนี้ตลาดหลักทรัพย์อยู่ระหว่างที่จะติดต่อกับบริษัทที่มีความพร้อมว่ายังคงต้องการเข้าจดทะเบียนภายในปีนี้หรือไม่”
ปัจจุบันมีบริษัทที่สนใจและตรียมที่จะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ และตลาดเอ็ม เอ ไอ โดยคาดว่าจากนี้จนถึงสิ้นปีจะมีบริษัทยื่นแบบแสดงรายการข้อมูล (ไฟลิ่ง) เพิ่มเติมอีก 4-5 บริษัท จากต้นปีที่ได้มีการยื่นไฟลิ่งทั้ง 2 ตลาดประมาณ 25 บริษัท ซึ่งแสดงว่าบริษัทยังมีความสนใจที่จะเข้าจดทะเบียนอยู่ เพียงแต่รอจังหวะเท่านั้น อีกทั้งปัจจัยที่เข้ามามีผลกระทบล้วนเป็นเรื่องที่ไม่สามารถควบคุมได้ และทางศูนย์ระดมทุนได้ทำหน้าที่ของตนเองอย่างดีที่สุด เพื่อชักชวนให้บริษัทเข้ามาจดทะเบียนเพิ่มขึ้น
**เป้าระดมทุนไม่เป็นไปตามฝัน**
นอกจากนี้ นายชนิตร กล่าวถึง กรณีที่มีผู้ประเมินว่าธนาคารพาณิชย์จะมีการปล่อยกู้ยากขึ้นในปี 2552จากความกังวลในเรื่องความสามารถชำระหนี้ของลูกค้า ว่า ถือเป็นโอกาสที่จะมีบริษัทเข้ามาจดทะเบียนมากขึ้นจากที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ เป็นแหล่งระดมทุน และเมื่อเข้ามาจดทะเบียนแล้วเสร็จจะทำให้บริษัทมีความแข็งแรงทางการเงินมากขึ้น ดังนั้นบริษัทเหล่านี้ต้องการที่จะกู้เงินกับสถาบันเงิน จะทำให้การกู้เงินได้รับความสะดวกมากขึ้นเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม ยอมรับว่าเป้าหมายการเข้าจดทะเบียนในปีนี้คงจะไม่ถึงเป้าหมาย รวมถึงมูลค่าการระดมทุนด้วย โดยปัจจุบันมีการระดมทุนแล้ว 18,764.30 ล้านบาท แบ่งเป็นการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ 9 บริษัท มูลค่าระดมทุน 18,389.30 ล้านบาท และตลาดเอ็มเอไอ จำนวน 3 บริษัท มูลค่าระดมทุน 375 ล้านบาท
**บจ.ใหม่ยังลังเลใจเข้าจดทะเบียน**
นายพนม ควรสถาพร ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เอเชีย กรีน เอนเนอจี จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า หากภาวะตลาดยังไม่ปรับตัวดีขึ้น บริษัทจะเลื่อนการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เอ็มเอไอออกไปเป็นปีหน้า แต่หากภาวะตลาดปรับตัวดีขึ้น บริษัทพร้อมที่จะเข้าจดทะเบียนภายในปีนี้ ซึ่งขณะนี้บริษัทมีความพร้อมในการเข้าจดทะเบียน โดยผลการดำเนินงานของบริษัทมีแนวโน้มที่เติบโตที่ดีมากในปีนี้
นางสาวพัชพร สรรคบุรานุรักษ์ ผู้อำนวยการฝ่ายวาณิชธนกิจ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เคจีไอ จำกัด (มหาชน) หรือ KGI ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินบมจ. ผลธัญญะ กล่าวว่า จากภาวะตลาดในปัจจุบันบริษัทอาจจะเลื่อนจดทะเบียนบมจ. ผลธัญญะออกไปเป็นปีหน้า
ด้านแหล่งข่าว บล.ฟิลลิป (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน บมจ. ควอลีเทค กล่าวว่า ในสัปดาห์นี้จะมีการสรุปว่าจะยังคงเข้าจดทะเบียนหรือเลื่อนออกไป เพราะ ผู้บริหารของบริษัทยังมีความต้องการที่จะเข้าจดทะเบียน เพื่อนำเงินไปชำระค่าเครื่องจักรและอุปกรณ์เพื่อในการขยายการดำเนินธุรกิจ และบริษัทต้องการได้รับสิทธิประโยชน์ทางด้านภาษี ซึ่งหากมีการเลื่อนออกไปเข้าปีหน้าก็จะได้รับลดหย่อนภาษีในปี 2553
ส่วนนายเอกจักร บัวหภักดี ผู้จัดการฝ่ายวาณิชธนกิจ บล.พัฒนสิน ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน บริษัท กรุงเทพประกันชีวิต กล่าวว่า ขณะนี้ยังไม่ได้มีการสรุปว่าจะเข้าจดทะเบียนในปีนี้หรือปีหน้า เพราะเรื่องดังกล่าวขึ้นอยู่กับภาวะตลาด ซึ่งหากภาวะตลาดหุ้นยังไม่ดีขึ้น อาจจะต้องมีการเลื่อนเข้าซื้อขายเป็นปีหน้าแทน เช่นเดียวกับก่อนหน้านี้ที่ บริษัทเจมาร์ท ได้มีการยืนยันว่าจะเลือนเข้าจดทะเบียนเป็นปีหน้าแทน