ASTV ผู้จัดการรายวัน- ตลาดหุ้นไทยเงียบเหงาสุดๆ รับเทศกาลตรุษจีน มูลค่าการซื้อขายตลอดทั้งวันแค่ 2.3 พันล้านบาท ทำสถิติต่ำสุดในรอบ 6 ปี ด้านตลาดหลักทรัพย์ฯ แนะฉวยจังหวะเลือกซื้อหุ้นพื้นฐานดีจะให้ผลตอบแทน 2 เดือน ทั้งส่วนต่างราคาหุ้น-เงินปันผลสูง หลังผลสำรวจผลงานบจ.ไตรมาส 4/51 บริษัทจดทะเบียนขนาดใหญ่ยังมีกำไรที่ดีพร้อมจ่ายเงินปันผล
บรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นไทย วานนี้ (26 ม.ค.) ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวอยู่ในกรอบแคบๆ เหนือราคาปิดครั้งก่อน ท่ามกลางปริมาณการซื้อขายที่มีเข้ามาอย่างเงียบเหงา เนื่องจากเทศกาลวันหยุดตรุษจีน บวกกับตลาดหุ้นในภูมิภาคหลายแห่งปิดทำการ โดยปรับตัวขึ้นแตะระดับสูงสุดที่ 437.77 จุด ต่ำสุด 434.70 จุด ก่อนจะปิดการซื้อขายที่ 436.73 จุด เพิ่มขึ้นจากวันก่น 3.21 จุด หรือ 0.74% มูลค่าการซื้อขายรวม 2,339.79 ล้านบาท
ทั้งนี้ นักลงทุนต่างชาติมียอดซื้อสุทธิ 78.03 ล้านบาท นักลงทุนสถาบันขายสุทธิ 110.11 ล้านบาท และนักลงทุนรายย่อยซื้อสุทธิ 32.08 ล้านบาท ขณะที่มูลค่าการซื้อขายรวมตลอดทั้งวันที่ 2,339.79 ล้านบาท นับเป็นมูลค่าการซื้อขายต่ำสุดในรอบเกือบ 6 ปี จากวันที่ 31 มกราคม 2546 ที่มีมูลค่าการซื้อขายรวม 2,487.24 ล้านบาท
นายชนิตร ชาญชัยณรงค์ ผู้ช่วยผู้จัดการกลุ่มงานผู้ออกหลักทรัพย์และบริษัทจดทะเบียน ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า จากการติดตามผลการดำเนินงานไตรมาส 4/51 ของบริษัทจดทะเบียน พบบจ.ขนาดใหญ่ที่มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (มาร์เกตแคป) มากกว่า 5,000 ล้านบาทขึ้นมีผลประกอบการที่ดี จากราคาน้ำมันที่ปรับตัวลดลงส่งผลให้ต้นทุนการดำเนินงานต่ำ และมีจำนวนกว่า 20-30 บริษัทที่จ่ายเงินปันผลในอัตราที่สูง
“ในอดีตบริษัทขนาดใหญ่จะให้ผลตอบแทนจากเงินปันผลเพียง 2-3% ขณะที่บริษัทขนาดเล็กจะให้ผลอตอบแทนที่สูงกว่าบริษัทขนาด แต่นักลงทุนเข้าไปลงทุนในบริษัทขนาดเล็กไม่ได้จากหุ้นมีการซื้อขายน้อย ดังนั้นช่วงนี้จึงถือเป็นโอกาสดีที่จะเข้าไปลงทุน เพราะนักลงทุนจะได้รับผลตอบแทนสูงเป็น 2 เท่า จากราคาหุ้นที่ปรับตัวลดลงมาแล้วกว่า 30-50% บวกกับเงินปันผลที่จะได้รับ โดยกลุ่มที่น่าสนใจคือ กลุ่มอาหาร เครื่องดื่ม โรงพยาบาล โรงไฟฟ้า และสื่อสิ่งพิมพ์บางฉบับ เป็นต้น”
สำหรับประเด็นอุปสรรและปัญหาในการนำบริษัทเอกชนเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ นั้น นายชนิตร กล่าวว่า ตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้หารือกับชมรมวาณิชธนกิจและบริษัทที่ปรึกษาทางการเงินกว่า 40 แห่ง ซึ่งคาดว่าสมาคมวาณิชธนกิจจะนำเสนอปัญหาต่อตลาดหลักทรัพย์ฯ ภายในสัปดาห์นี้ ก่อนที่จะนำเสนอให้คณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์ฯ พิจารณาในการประชุมเดือนกุมภาพันธ์ 2552 เพื่อให้ขั้นตอนการจดทะเบียนรวดเร็วขึ้น
“ตลาดหุ้นซบเซาส่งผลให้ไม่มีเอกชนเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ และตลาดหลักทรัพย์เอ็มเอไอ นานถึง 6 เดือน ตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2551 ซึ่งถือเป็นเวลานานที่สุดที่ไม่มีบริษัทเข้ามาจดทะเบียนตั้งแต่ปี 2540 แม้จะมีบริษัทที่ได้รับอนุมัติไฟลิ่งแล้วรอจังหวะที่จะเสนอขายหุ้นถึง 14 บริษัท และบริษัทที่อยู่ระหว่างรออนุมัติจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) อีก 11 บริษัท ซึ่งต่างจากในช่วงวิกฤตที่ไม่มีบริษัทยื่นไฟลิ่งที่จะเข้าจดทะเบียน”
นายวิเชฐ ตันติวานิช รองผู้จัดการ สายงานผู้ออกหลักทรัพย์และบริษัทจดทะเบียน ตลาดหลักทรัพย์ฯ กล่าวว่า ตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้พยายามสร้างความสัมพันธ์และเป็นพันธมิตรกับกลุ่มประเทศแถบอินโดจีน ซึ่งมีบริษัทจำนวน 80 แห่ง ที่เป็นกลุ่มเป้าหมายที่จะนำเข้าจดทะเบียน ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของบจ.ไทย บริษัทไทยร่วมทุนกับบริษัทต่างชาติ และบริษัทต่างชาติ โดยคาดว่าไตรมาส4/52 จะมีบริษัทบริษัทย่อยของไทยที่ไปร่วมทุนในการสร้างเขื่อนที่ประเทศลาวเข้าจดทะเบียนได้
“ในไตรมาส 1/52 คาดจะมีบริษัทที่ได้รับการอนุมัติไฟลิ่งรวม 25 บริษัท มาร์เกตแคปรวม 4 หมื่นล้านบาท จากปัจจุบันที่ได้รับการอนุมัติแล้ว 14 บริษัท และอยู่ระหว่างการพิจารณาอีก 11 บริษัท รวมทั้งได้มีบริษัทที่ยื่นของสิทธิประโยชน์ภาษีตั้งแต่ปี 50 จากเดิมที่จะเข้าจดทะเบียนปี 51 จำนวน 30 บริษัท และเลื่อนที่จะเข้ามาจดทะเบียนปีนี้คาดว่าจะยื่นไฟลิ่ง นอกจากนี้ยังมีบริษัทใหม่ที่จะยื่นจองสิทธิทางภาษีเพิ่มอีก 30 บริษัท และคาดว่าจะยื่นไฟลิ่งได้ประมาณ 15 บาท ส่งผลให้ยอดรมของบริษัทที่ได้รับอนุมัติไฟลิ่งรวม 70 บริษัท มาร์เกตแคปรวม 2.7 แสนล้านบาท แต่จะเข้าจดทะเบียนได้จำนวนเท่าใดต้องขึ้นอยู่กับภาวะตลาดหุ้น จากเป้าของตลาดตั้งไว้ที่ 45 บริษัท”
นายธวัชชัย อัศวพรไชย ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) โกลเบล็ก จำกัด กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยวานนี้ค่อนข้างเงียบเหงา เนื่องจากเป็นวันหยุดเทศกาลตรุษจีน ทำให้มีตลาดหุ้นของประเทศสิงคโปร์ ฮ่องกง ไต้หวัน จีน ปิดทำการ ขณะที่ปัจจัยในประเทศไม่มีความเคลื่อนไหวอะไรเป็นพิเศษ โดยนักลงทุนต่างรอดูผลงานรัฐบาล หลังจากได้ประกาศแผนกระตุ้นเศรษฐกิจออกมาเรียบร้อยแล้ว
“แนวโน้มตลาดหุ้นไทยวันนี้คงจะเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบแคบๆ โดยนักลงทุนต้องติดตามตลาดหุ้นดาวโจนส์ของสหรัฐฯ ราคาน้ำมันโลก และผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนในไทยที่ทยอยประกาศออกมา ดังนั้นจึงแนะนำให้นักลงทุนควรชะลอการลงทุน เพื่อรอดูสถานการณ์ ประเมินแนวรับที่ 430 จุด และแนวต้าน 440 จุด”
นายสมชาย เอนกทวีผล ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ไซรัส จำกัด (มหาชน) หรือ SYRUS กล่าวว่า วานนี้ดัชนีตลาดหุ้นไทยค่อนข้างซบเซาสอดคล้องกับการปิดทำการซื้อขายของตลาดหุ้นต่างประเทศบางแห่ง และสภาพเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ขณะที่แนวโน้มตลาดหุ้นไทยยังคงจะแกว่งตัวอยู่ในกรอบแคบๆ โดยนักลงทุนควรติดตามราคาน้ำมันโลกที่อาจเป็นแรงหนุนดัชนีตลาดหุ้นไทย เพราะหุ้นกลุ่มพลังงานมูลค่าค่อนข้างใหญ่ในตลาด ตลอดจนทิศทางตลาดหุ้นต่างประเทศ ดังนั้นนักลงทุนควรจะชะลอการลงทุนเพื่อรอจังหวะที่เหมาะสม ให้แนวรับที่ 430 จุด แนวต้านที่ 440 จุด
ด้านนางสาวจิตติมา อังสุวรังษี ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ฟาร์อีสท์ จำกัด กล่าวว่า จากการที่ตลาดในภูมิภาคเอเชียหลายแห่งปิดทำการบวกกับแนวโน้มเศรษฐกิจที่ยังไม่กระเตื้องส่งผลปริมาณการซื้อขายในตลาดหุ้นไทยค่อนข้างเบาบาง โดยมีวอลุ่มตลอดวันประมาณ 2 พันกว่าล้านบาท ส่วนแนวโน้มภาวะตลาดหุ้นไทยจะยังคงตกอยู่ในความเงียบเหงา นักลงทุนควรชะลอลงทุนเพื่อถือเงินสด ประเมินแนวรรับไว้ที่ 427-430 จุด และแนวต้านที่ 440-445 จุด
บรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นไทย วานนี้ (26 ม.ค.) ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวอยู่ในกรอบแคบๆ เหนือราคาปิดครั้งก่อน ท่ามกลางปริมาณการซื้อขายที่มีเข้ามาอย่างเงียบเหงา เนื่องจากเทศกาลวันหยุดตรุษจีน บวกกับตลาดหุ้นในภูมิภาคหลายแห่งปิดทำการ โดยปรับตัวขึ้นแตะระดับสูงสุดที่ 437.77 จุด ต่ำสุด 434.70 จุด ก่อนจะปิดการซื้อขายที่ 436.73 จุด เพิ่มขึ้นจากวันก่น 3.21 จุด หรือ 0.74% มูลค่าการซื้อขายรวม 2,339.79 ล้านบาท
ทั้งนี้ นักลงทุนต่างชาติมียอดซื้อสุทธิ 78.03 ล้านบาท นักลงทุนสถาบันขายสุทธิ 110.11 ล้านบาท และนักลงทุนรายย่อยซื้อสุทธิ 32.08 ล้านบาท ขณะที่มูลค่าการซื้อขายรวมตลอดทั้งวันที่ 2,339.79 ล้านบาท นับเป็นมูลค่าการซื้อขายต่ำสุดในรอบเกือบ 6 ปี จากวันที่ 31 มกราคม 2546 ที่มีมูลค่าการซื้อขายรวม 2,487.24 ล้านบาท
นายชนิตร ชาญชัยณรงค์ ผู้ช่วยผู้จัดการกลุ่มงานผู้ออกหลักทรัพย์และบริษัทจดทะเบียน ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า จากการติดตามผลการดำเนินงานไตรมาส 4/51 ของบริษัทจดทะเบียน พบบจ.ขนาดใหญ่ที่มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (มาร์เกตแคป) มากกว่า 5,000 ล้านบาทขึ้นมีผลประกอบการที่ดี จากราคาน้ำมันที่ปรับตัวลดลงส่งผลให้ต้นทุนการดำเนินงานต่ำ และมีจำนวนกว่า 20-30 บริษัทที่จ่ายเงินปันผลในอัตราที่สูง
“ในอดีตบริษัทขนาดใหญ่จะให้ผลตอบแทนจากเงินปันผลเพียง 2-3% ขณะที่บริษัทขนาดเล็กจะให้ผลอตอบแทนที่สูงกว่าบริษัทขนาด แต่นักลงทุนเข้าไปลงทุนในบริษัทขนาดเล็กไม่ได้จากหุ้นมีการซื้อขายน้อย ดังนั้นช่วงนี้จึงถือเป็นโอกาสดีที่จะเข้าไปลงทุน เพราะนักลงทุนจะได้รับผลตอบแทนสูงเป็น 2 เท่า จากราคาหุ้นที่ปรับตัวลดลงมาแล้วกว่า 30-50% บวกกับเงินปันผลที่จะได้รับ โดยกลุ่มที่น่าสนใจคือ กลุ่มอาหาร เครื่องดื่ม โรงพยาบาล โรงไฟฟ้า และสื่อสิ่งพิมพ์บางฉบับ เป็นต้น”
สำหรับประเด็นอุปสรรและปัญหาในการนำบริษัทเอกชนเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ นั้น นายชนิตร กล่าวว่า ตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้หารือกับชมรมวาณิชธนกิจและบริษัทที่ปรึกษาทางการเงินกว่า 40 แห่ง ซึ่งคาดว่าสมาคมวาณิชธนกิจจะนำเสนอปัญหาต่อตลาดหลักทรัพย์ฯ ภายในสัปดาห์นี้ ก่อนที่จะนำเสนอให้คณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์ฯ พิจารณาในการประชุมเดือนกุมภาพันธ์ 2552 เพื่อให้ขั้นตอนการจดทะเบียนรวดเร็วขึ้น
“ตลาดหุ้นซบเซาส่งผลให้ไม่มีเอกชนเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ และตลาดหลักทรัพย์เอ็มเอไอ นานถึง 6 เดือน ตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2551 ซึ่งถือเป็นเวลานานที่สุดที่ไม่มีบริษัทเข้ามาจดทะเบียนตั้งแต่ปี 2540 แม้จะมีบริษัทที่ได้รับอนุมัติไฟลิ่งแล้วรอจังหวะที่จะเสนอขายหุ้นถึง 14 บริษัท และบริษัทที่อยู่ระหว่างรออนุมัติจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) อีก 11 บริษัท ซึ่งต่างจากในช่วงวิกฤตที่ไม่มีบริษัทยื่นไฟลิ่งที่จะเข้าจดทะเบียน”
นายวิเชฐ ตันติวานิช รองผู้จัดการ สายงานผู้ออกหลักทรัพย์และบริษัทจดทะเบียน ตลาดหลักทรัพย์ฯ กล่าวว่า ตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้พยายามสร้างความสัมพันธ์และเป็นพันธมิตรกับกลุ่มประเทศแถบอินโดจีน ซึ่งมีบริษัทจำนวน 80 แห่ง ที่เป็นกลุ่มเป้าหมายที่จะนำเข้าจดทะเบียน ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของบจ.ไทย บริษัทไทยร่วมทุนกับบริษัทต่างชาติ และบริษัทต่างชาติ โดยคาดว่าไตรมาส4/52 จะมีบริษัทบริษัทย่อยของไทยที่ไปร่วมทุนในการสร้างเขื่อนที่ประเทศลาวเข้าจดทะเบียนได้
“ในไตรมาส 1/52 คาดจะมีบริษัทที่ได้รับการอนุมัติไฟลิ่งรวม 25 บริษัท มาร์เกตแคปรวม 4 หมื่นล้านบาท จากปัจจุบันที่ได้รับการอนุมัติแล้ว 14 บริษัท และอยู่ระหว่างการพิจารณาอีก 11 บริษัท รวมทั้งได้มีบริษัทที่ยื่นของสิทธิประโยชน์ภาษีตั้งแต่ปี 50 จากเดิมที่จะเข้าจดทะเบียนปี 51 จำนวน 30 บริษัท และเลื่อนที่จะเข้ามาจดทะเบียนปีนี้คาดว่าจะยื่นไฟลิ่ง นอกจากนี้ยังมีบริษัทใหม่ที่จะยื่นจองสิทธิทางภาษีเพิ่มอีก 30 บริษัท และคาดว่าจะยื่นไฟลิ่งได้ประมาณ 15 บาท ส่งผลให้ยอดรมของบริษัทที่ได้รับอนุมัติไฟลิ่งรวม 70 บริษัท มาร์เกตแคปรวม 2.7 แสนล้านบาท แต่จะเข้าจดทะเบียนได้จำนวนเท่าใดต้องขึ้นอยู่กับภาวะตลาดหุ้น จากเป้าของตลาดตั้งไว้ที่ 45 บริษัท”
นายธวัชชัย อัศวพรไชย ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) โกลเบล็ก จำกัด กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยวานนี้ค่อนข้างเงียบเหงา เนื่องจากเป็นวันหยุดเทศกาลตรุษจีน ทำให้มีตลาดหุ้นของประเทศสิงคโปร์ ฮ่องกง ไต้หวัน จีน ปิดทำการ ขณะที่ปัจจัยในประเทศไม่มีความเคลื่อนไหวอะไรเป็นพิเศษ โดยนักลงทุนต่างรอดูผลงานรัฐบาล หลังจากได้ประกาศแผนกระตุ้นเศรษฐกิจออกมาเรียบร้อยแล้ว
“แนวโน้มตลาดหุ้นไทยวันนี้คงจะเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบแคบๆ โดยนักลงทุนต้องติดตามตลาดหุ้นดาวโจนส์ของสหรัฐฯ ราคาน้ำมันโลก และผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนในไทยที่ทยอยประกาศออกมา ดังนั้นจึงแนะนำให้นักลงทุนควรชะลอการลงทุน เพื่อรอดูสถานการณ์ ประเมินแนวรับที่ 430 จุด และแนวต้าน 440 จุด”
นายสมชาย เอนกทวีผล ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ไซรัส จำกัด (มหาชน) หรือ SYRUS กล่าวว่า วานนี้ดัชนีตลาดหุ้นไทยค่อนข้างซบเซาสอดคล้องกับการปิดทำการซื้อขายของตลาดหุ้นต่างประเทศบางแห่ง และสภาพเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ขณะที่แนวโน้มตลาดหุ้นไทยยังคงจะแกว่งตัวอยู่ในกรอบแคบๆ โดยนักลงทุนควรติดตามราคาน้ำมันโลกที่อาจเป็นแรงหนุนดัชนีตลาดหุ้นไทย เพราะหุ้นกลุ่มพลังงานมูลค่าค่อนข้างใหญ่ในตลาด ตลอดจนทิศทางตลาดหุ้นต่างประเทศ ดังนั้นนักลงทุนควรจะชะลอการลงทุนเพื่อรอจังหวะที่เหมาะสม ให้แนวรับที่ 430 จุด แนวต้านที่ 440 จุด
ด้านนางสาวจิตติมา อังสุวรังษี ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ฟาร์อีสท์ จำกัด กล่าวว่า จากการที่ตลาดในภูมิภาคเอเชียหลายแห่งปิดทำการบวกกับแนวโน้มเศรษฐกิจที่ยังไม่กระเตื้องส่งผลปริมาณการซื้อขายในตลาดหุ้นไทยค่อนข้างเบาบาง โดยมีวอลุ่มตลอดวันประมาณ 2 พันกว่าล้านบาท ส่วนแนวโน้มภาวะตลาดหุ้นไทยจะยังคงตกอยู่ในความเงียบเหงา นักลงทุนควรชะลอลงทุนเพื่อถือเงินสด ประเมินแนวรรับไว้ที่ 427-430 จุด และแนวต้านที่ 440-445 จุด