xs
xsm
sm
md
lg

วิกฤตศก.-การเมืองกดวอลุ่มปี52วูบเหลือ1.3หมื่นล./วัน

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ASTV ผู้จัดการรายวัน – ตลาดหุ้นไทยยังวิกฤตจากเหตุการณ์ทางการเมืองถล่มซ้ำวิกฤตเศรษฐกิจโลกหดตัว ทำให้ 11 เดือนแรกปีนี้นักลงทุนต่างชาติทิ้งหุ้นรวมกว่า 1.5 แสนล้านบาท กดดัชนี-มาร์เกตแคปวูบมากกว่า 50% เหลือแค่ 401 จุด และ 3.19 ล้านล้านบาท ตามลำดับ ขณะที่มูลค่าการซื้อขายเดือนพ.ย. ต่ำสุดในรอบปีเฉลี่ย 10,851 ล้านบาทต่อวัน ด้านตลาดหลักทรัพย์ฯ คาดการณ์วอลุ่มเฉลี่ยปีหน้าเหลือ 1.3 หมื่นล้านบาท หากสถานการณ์ยังไม่ได้ข้อยุติ ส่วนโบรกเกอร์ สั่งจับตาการเมืองใกล้ชิด หวังนายกฯ “สมชาย วงศ์สวัสดิ์” ยุบสภา หนุนดัชนีตลาดหุ้นเด้งแรง

บรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นไทย นับตั้งแต่ต้นปี 2551 ที่ผ่านมา ต้องเผชิญกับปัญหาวิกฤตสถาบันการเงินสหรัฐฯ ที่ลุกลามสู่สถาบันการเงินทั่วโลก และส่งผลกระทบต่อภาวะเศรษฐกิจทั่วโลกชะลอตัวลงอย่างรุนแรง ขณะที่ปัจจัยในประเทศเรื่องของสถานการณ์ทางการเมืองที่คุกรุ่นและส่งสัญญาณทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น ล้วนเป็นปัจจัยลบที่กดดดันตลาดหุ้นไทยให้ปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง
ASTV ผู้จัดการรายวัน ได้เปรียบเทียบดัชนีตลาดหุ้นไทยล่าสุด ณ วันที่ 28 พฤศจิกายน 51 กับดัชนีตลาดหุ้นไทยเมื่อสิ้นปี 2550 (31 ธ.ค.51) พบว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลงเหลือที่ระดับ 401.84 จุด มูลค่าตามราคาตลาดรวม (มาร์เกตแคป) อยู่ที่ 3.19 ล้านล้านบาท จากสิ้นปี 50 ดัชนีตลาดหุ้นอยู่ที่ 858.10 จุด มาร์เกตแคป 6.64 ล้านล้านบาท หรือดัชนีตลาดหุ้นปรับตัวลดลงไปแล้วกว่า 456.26 จุด คิดเป็น 53.17% ขณะที่มาร์เกตแคปลดลง 3.45 ล้านล้านบาท คิดเป็น 51.96%
ขณะที่มูลค่าการซื้อขายได้ปรับตัวลดลงจากปีที่ผ่านมาเช่นกัน โดยในปี 51 มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันปรับตัวลดลงเหลือประมาณ 16,000 ล้านบาท ลดลงจากปี 50 มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันอยู่ที่ 17,097.05 ล้านบาท โดยในเดือนล่าสุด (พ.ย.) มีมูลค่าซื้อขายเฉลี่ยต่อวันลดเหลือ 10,851.90 ล้านบาท ซึ่งเป็นเดือนที่มีมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยน้อยที่สุดนับตั้งแต่ต้นปี 51
สำหรับสาเหตุที่ทำให้มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันลดลง สืบเนื่องนักลงทุนไม่มีความมั่นใจในตลาดทุน รวมถึงนักลงทุนต่างประเทศเทขายหุ้นออกมาอย่างต่อเนื่อง เพื่อนำเงินไปสำรองสภาพคล่องจากวิกฤตการเงินที่เกิดขึ้นทั่วโลก โดยตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมานักลงทุนต่างประเทศมียอดขายสุทธิรวมทั้งสิ้นกว่า 150,310.82 ล้านบาท
นางภัทรียา เบญจพลชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ตลาดหลักทรัพย์ฯ ประเมินวิกฤตการเงินสหรัฐฯ และสถานการณ์ทางการเมืองที่ยังคงมีความยืดเยื้อจะส่งผลต่อมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยในปี 2552 ลดลงเหลือเฉลี่ยวันละ 13,500 ล้านบาท แต่หากเหตุการณ์ทุกอย่างคลี่คลายไปในทางที่ดีขึ้นจะทำให้มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันอยู่ที่วันละ 18,000 ล้านบาท จากการคาดการณ์ว่าในปี 51 มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันจะอยู่ที่ประมาณ 17,000 ล้านบาท
“เหตการณ์ชุมนุมประท้วงด้วยการปิดสนามบินสุวรรณภูมิ ได้ส่งผลกระทบต่อภาวะเศรษฐกิจ การท่องเที่ยว และการส่งออก ซึ่งรุนแรงมากกว่าเหตุการณ์ปฏิวัติรัฐประหารเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 เพราะปัญหาขณะนี้ยังไม่มีทางออก”
นางภัทรียา กล่าวว่า ขณะนี้อยากให้ทั้ง 2 ฝ่าย คือรัฐบาลและกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยร่วมกันหาทางออก เพื่อให้ประเทศสามารถเดินหน้าต่อไปได้ เพราะผลกระทบที่เกิดขึ้นในขณะนี้ทำให้ประเทศไทยเสียโอกาส และอาจรุนแรงขึ้น หากประเทศคู่ค้ายกเลิกการทำธุรกิจกับประเทศไทย
ด้านนายวิเชฐ ตันติวานิช รองผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์ฯ กล่าวถึง แผนการดำเนินงานของตลาดหลักทรัพย์ฯ ว่า ในปี 2552 ตลาดหลักทรัพย์ฯ ตั้งเป้าเพิ่มบริษัทจดทะเบียนอีก 46 บริษัท โดยเป็นบริษัทขนาดใหญ่ 4 บริษัท และจะมีบริษัทต่างชาติในแถบอินโดจีนเข้าจดทะเบียนในตลาดหุ้นไทย 1 บริษัท ซึ่งคาดว่าจะเพิ่มมูลค่าตลาดรวม (มาร์เกตแคป) ได้ประมาณ 250,000 ล้านบาท รวมทั้งตั้งเป้าเพิ่มผู้ลงทุนบุคคลอีกประมาณ 100,000 ราย หรือคิดเป็นสัดส่วน 5% และเพิ่มสัดส่วนนักลงทุนสถาบันอีก 10%
***ดัชนีหุ้นไทยต่ำสุดกลางปีหน้า
นายสมบัติ นราวุฒิชัย เลขาธิการสมาคมนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ กล่าวว่า ขณะนี้เศรษฐกิจของไทยต้องเผชิญกับปัจจัยลบ 2 ด้าน ทั้งวิกฤติเศรษฐกิจโลกที่กำลังชะลอตัว และสถานการณ์ทางการเมืองที่รุนแรงมากยิ่งขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้เศรษฐกิจของประเทศชะลอตัวไปอีก 1-2 ปี โดยคาดว่าอัตราการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจในปี 52 อาจจะเป็นไปได้ยากที่จะโตได้ถึงระดับ 3%
ส่วนผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้นต่อตลาดทุนนั้น ตลาดหุ้นจะยังคงมีความผันผวน โดยจะมีจุดต่ำสุดในช่วงกลางปีหน้า ก่อนที่จะเริ่มฟื้นตัวขึ้นมาได้บ้าง
“ขณะนี้เม็ดเงินลงทุนของนักลงทุนต่างชาติในตลาดหุ้นไทยคงเหลืออยู่ประมาณ 1 แสนล้านบาท โดยมีแรงเทขายเฉลี่ยวันละ 700 ล้านบาท ทำให้มีโอกาสน้อยที่ดัชนีตลาดหุ้นไทยจะหลุดต่ำกว่า 300 จุด เพราะยังมีแรงซื้อเข้ามาจากนักลงทุนในประเทศอย่างต่อเนื่อง”
นายอภิสิทธิ์ ลิมป์ธำรงกุล ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เกียรตินาคิน จำกัด กล่าวว่า สัปดาห์นี้ตลาดหุ้นไทยน่าจะได้รับข่าวดีจากกรณีศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งให้พรรคพลังประชาชน พรรคชาติไทย และพรรคมัชฌิมาธิปไตย แถลงปิดคดีในวันที่ 2 ธ.ค.นี้ ซึ่งจะส่งผลให้สถานการณ์ทางการเมืองมีความชัดเจนมากขึ้น และมีแนวโน้มความวุ่นวายทางการเมืองในประเทศจะจบได้ในเร็ววัน
ขณะเดียวกัน ตลาดหุ้นไทยอาจจะได้รับอิทธิพลจากการคาดหวังของการประชุมโอเปกจะประกาศให้มีการลดกำลังการผลิตน้ำมัน เพื่อรักษาเสถียรภาพของราคา ซึ่งจะทำให้ราคาน้ำมันปรับตัวเพิ่มขึ้น และส่งผลดีต่อราคาหุ้นในกลุ่มพลังงานด้วย ซึ่งถือเป็นจังหวะดีที่จะเข้าไปเก็งกำไรในหุ้นกลุ่มพลังงาน หลังจากราคาหุ้นได้ปรับลดลงก่อนหน้านี้
“แม้สมาคมบริษัทหลักทรัพย์ คาดว่าตลาดหุ้นไทยปีหน้าจะซบเซาหนัก จากปัจจัยลบเรื่องของวิกฤตเศรษฐกิจโลกและสถานการณ์ทางการเมือง ซึ่งเชื่อว่าเรื่องดังกล่าวน่าจะส่งผลต่อจิตวิทยาของนักลงทุนในแง่ของความเชื่อมั่นเท่านั้น แต่ขณะนี้ราคาหุ้นไทยอยู่ในระดับที่ถูกมาก ดังนั้นอาจจะเป็นแรงจูงใจให้นักลงทุนเข้ามาเก็งกำไรได้เช่นกัน”
สำหรับแนวโน้มตลาดหุ้นไทยในสัปดาห์นี้ ดัชนีตลาดหุ้นไทยจะเคลื่อนไหวอิงกับสถานการณ์ทางการเมือง หากไม่มีความรุนแรงเกิดขึ้นจะส่งผลให้ดัชนีปรับตัวเพิ่มขึ้น ในทางตรงกันข้ามหากเกิดเหตุการณ์ความรุนแรงจะส่งผลให้ดัชนีปรับตัวลดลงเช่นกัน ดังนั้นนักลงทุนต้องติดตามการเมืองอย่างใกล้ชิด โดยประเมินแนวรับไว้ที่ 398-400 จุด และแนวต้านที่ 410-420 จุด
นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ความเคลื่อนไหวตลาดหุ้นสัปดาห์นี้ขึ้นอยู่กับทิศทางการเมือง หากรัฐบาลใช้ความรุนแรงในการสลายการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยจะส่งกระทบต่อความมั่นใจของนักลงทุน ทำให้มีแรงเทขายออกมาเป็นจำนวนมาก และดัชนีตลาดหุ้นปรับตัวลดลงอย่างรุนแรง แต่หากนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกรัฐมนตรี ประกาศลาออกหรือยุบสภา เพื่อแก้ปัญหาความรุนแรงที่จะเกิดขึ้น จะส่งผลดีต่อตลาดหุ้น โดยดัชนีตลาดหุ้นจะปรับตัวขึ้นแรงถึง 30-40 จุด
ขณะเดียวกัน นักลงทุนจะต้องติดตามการประชุมฉุกเฉินของกลุ่มประเทศผู้ผลิตน้ำมันเพื่อการส่งออกหรือโอเปก ที่อาจจะมีการปรับลดกำลังการผลิตน้ำมันลง ซึ่งจะมีผลต่อทิศทางราคาน้ำมันและหุ้นกลุ่มพลังงาน รวมทั้งการประชุมของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เพื่อพิจารณาดอกเบี้ยนโยบายในสัปดาห์นี้เช่นกัน โดยกลยุทธ์ แนะนำชะลอการลงทุน ประเมินแนวรับ 383 จุด แนวต้าน 400 จุด
กำลังโหลดความคิดเห็น