ตลาดหลักทรัพย์ฯ เผย 10 บจ. เตรียมขนเงินลงขัน “กองทุนไทยสร้างโอกาส2” หากดัชนีตลาดหุ้นไทยหลุด 400 จุด หรือแตะจุดต่ำสุดเดิมที่ 384 จุด หลังจากราคาหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้นจนต้องพับแผนไปเมื่อต้นปีที่ผ่านมา ด้านบลจ.กรุงไทย คาดตลาดหลักทรัพย์ฯ จะใส่เงินครบ 1.7 พันล้านบาท ภายในเดือนมีนาคมนี้
นายวิเชฐ ตันติวานิช รองผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยถึง ความคืบหน้าการลงทุนในกองทุนไทยสร้างโอกาส 2 ว่า หากดัชนีตลาดหุ้นไทยมีการปรับตัวลดลงต่ำกว่า 400 จุด หรือลดลงกลับไปแตะที่จุดต่ำสุดเดิมที่ 380 จุดนั้น จะทำให้บริษัทจดทะเบียน (บจ.) ที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ เคยไปชวนให้เข้ามาร่วมทุนในกองทุนดังกล่าวกลับมาให้ความสนใจและใส่เงินลงทุนในกองทุนไทยสร้างโอกาส 2 หลังจากก่อนหน้านี้บจ. ต่างๆ ได้ชะลอการลงทุนออกไป
ทั้งนี้ จากการที่ดัชนีตลาดหุ้นไทยในช่วงต้นปีได้ปรับตัวเพิ่มขึ้นไป ทำราคาหุ้นตามมูลค่าทางบัญชี (PB) ปรับตัวเพิ่มขึ้น ซึ่งไม่ตรงตามเป้าหมายการลงทุน จึงทำให้ความน่าสนใจในการลงทุนลดลงไป หลังจากก่อนหน้านี้ราคาหุ้นได้ปรับตัวลดลงมากกว่า 1 เท่า จากปัญหาวิกฤตการเงินโลกที่ทำให้ราคาหุ้นต่ำมาก ขณะที่บริษัทจดทะเบียนเองยังมีฐานะทางการเงินที่ดี อัตราหนี้สินต่อหุ้น (DE) ต่ำ และมีอัตราการจ่ายเงินปันผลที่สูง
นอกจากนี้ การที่มีการเปลี่ยนรัฐบาลใหม่นั้นดัชนีตลาดหุ้นไทยทรงตัวปรับตัวเพิ่มขึ้นหรือลดลงไม่แรง บวกกับปัญหาเศรษฐกิจทำให้บริษัทมีการถือครองเงินสดไว้ให้มากที่สุด และลดในเรื่องการลงทุน แต่เชื่อว่าหากราคาหุ้นมีการปรับตัวลดลงไปทำให้ PB ต่ำมาก จะดึงความสนใจจากนักลงทุนและบจ.กลับเข้ามาลงทุน แม้ดัชนีตลาดหุ้นไทยจะมีการปรับตัวอยู่ที่ระดับไหนก็ตาม
“จากการที่ดัชนีตลาดหุ้นมีการปรับตัวเพิ่มขึ้น ทำให้ PB ต่ำมันหายไป จากเคยต่ำกว่า 1 เท่าปรับตัวเพิ่มขึ้นไป จึงทำให้ยังไม่ใช่โอกาสที่จะเข้าไปลงทุน เพราะเดิมที่ตั้งกองทุนนี้เป็นกองทุนเพื่อสร้างโอกาสในการลงทุน จะเข้าไปลงทุนในหุ้นราคาต่ำ ไม่คำนึงถึงดัชนีตลาดหุ้น ขณะที่ตลาดหลักทรัพย์ฯได้ทยอยใส่เงินลงทุน จากมีวงเงินลงทุนมูลค่า 1.7 พันล้านบาท”
นายวิเชฐ กล่าวว่า เมื่อปลายปี 2551 ที่ผ่านมา ตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้ลงทุนในกองทุนไทยสร้างโอกาส 2 ซึ่งได้เข้าไปลงทุนซื้อหุ้นช่วงดัชนีตลาดหุ้นอยู่ที่ประมาณ 384 จุด ทำให้ปัจจุบันตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้รับผลกำไรจากการที่ราคาหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้น ดังนั้น หากดัชนีตลาดหุ้นปรับตัวลดลงต่ำกว่าระดับ 400 จุด คาดว่าจะมีบริษัทจดทะเบียนกลับมาลงทุนในกองทุนดังกล่าวประมาณ 10 แห่ง
อนึ่งก่อนหน้านี้นางภัทรียา เบญจพลชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้จัดตั้งกองทุนไทยสร้างโอกาส 2 โดยให้ทางบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน บลจ.กรุงไทย จำกัด เป็นผู้บริหาร โดยใช้เงินลงทุนในกองทุนดังกล่าวจำนวน 1,700 ล้านบาท หลังจากที่ผ่านนักลงทุนสถาบันเช่น บจ.ไม่สนใจที่จะเข้าร่วมลงทุนด้วย จากภาวะตลาดหุ้นในช่วงต้นปีมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นมาจากช่วงปลายปี แต่ตลาดหลักทรัพย์ฯ ต้องเดินหน้าลงทุนต่อไป
ทั้งนี้ ตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้ทยอยใส่เงินลงทุนในกองทุนไทยสร้างโอกาส 2 ตั้งแต่ปลายปีที่ผ่านมาช่วงที่ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลงไปที่ระดับ 380 จุด แต่หากมีนักลงทุนสถาบันรายใดสนใจที่จะเข้ามาร่วมลงทุนก็สามารถทำได้ โดยทางบลจ.กรุงไทยจะหานักลงทุนสถาบันเข้ามาร่วมลงทุนกับตลาดหลักทรัพย์ฯ ต่อไป แม้ที่ผ่านมาจากการไปชวนบจ.แล้วมีความสนใจ แต่ภาวะตลาดหุ้นที่ปรับตัวขึ้นตอนต้นปีทำให้ชะลอแผนในการที่จะเข้ามาร่วมลงทุน
อย่างไรก็ตาม ตลาดหลักทรัพย์ฯ อาจมีการปรับปรุงเกณฑ์การลงทุนในกองทุนแมทชิ่งฟันด์ใหม่ ในบางเรื่อง เพื่อให้มีการลงทุนที่ยืดหยุ่น เช่น อาจจะมีการลดระยะเวลาการลงทุนลดลง จากเดิมที่กำหนดว่าจะต้องมีการลงทุนยาว 2 ปี เพื่อทำให้การลงทุนมีความยืดหยุ่นในการลงทุนมากขึ้น จากเดิมที่จะต้องลงทุนเป็นเวลานาน
ทั้งนี้ ตลาดหลักทรัพย์ฯ มีวงเงินที่จะใช้ร่วมลงทุนในกองทุน (Matching Fund) มูลค่า 2,000 ล้านบาท ซึ่งมีบลจ. 3 แห่ง ที่ระดมทุนจากนักลงทุนและร่วมลงทุนกับตลาดหลักทรัพย์ฯ โดยตลาดหลักทรัพย์ฯ ใช้เงินร่วมลงทุน 300 ล้านบาท แบ่งเป็น บลจ.ไอเอ็นจี ซึ่งลงทุนในสัดส่วน 1 ต่อ 3 คือ ตลาดหลักทรัพย์ฯ 100 ล้านบาท และบลจ.ไอเอ็นจี ลงทุน 300 ล้านบาท
ส่วน บลจ.ซีมิโก้ และบลจ.เอ็มเอฟซี ซึ่งจะลงทุนในสัดส่วน 1 ต่อ 1.5 คือ ตลาดหลักทรัพย์ฯลงทุน 100 และบลจ.ซีมิโก้ และบลจ.เอ็มเอฟซี ลงทุนแห่งละ 150 ล้านบาท ทำให้ตลาดหลักทรัพย์เหลือเงินอีก 1,700 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม ตลาดหลักทรัพย์ฯคาดว่าผลตอบแทนการลงทุนในปีนี้จะสามารถเป็นบวกได้ จากที่ผ่านมาจากได้รับผลขาดทุนบ้างจากภาวะตลาดหุ้นที่ปรับตัวลดลง ส่วนการลงทุนต่างประเทศนั้นตลาดหลักทรัพย์ฯอยู่ระหว่างการพิจารณา ซึ่งอาจจะไปลงทุนในกองทุนอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งให้ผลตอบแทนที่ดี แต่ตลาดหลักทรัพย์ฯ จะเน้นลงทุนในประเทศไทยก่อน
ด้านนายสมชัย บุญนำศิริ กรรมการผู้จัดการ บลจ.กรุงไทย จำกัด กล่าวว่า ตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้ใส่เงินลงทุนในกองทุนไทยสร้างโอกาส 2 แล้ว ประมาณ 300-400 ล้านบาท และมีนักลงทุนสถาบัน 3 แห่งได้มีการใส่เงินร่วมลงทุน คือ ธนาคารกรุงไทย และบริษัทประกันอีก 2 แห่ง มูลค่า 200-300 ล้านบาท ซึ่งที่ผ่านมีนักลงทุนสถาบันหลายแห่งสนใจที่จะเข้ามาร่วมลงทุนแต่ยังอยู่ทิศทางตลาดหุ้นไทยก่อน
ทั้งนี้ คาดว่าตลาดหลักทรัพย์ฯ จะใส่เงินลงทุนครบ 1,700 ล้านบาท ในเดือนมีนาคม 2552 นี้ และคาดว่าจะมีนักลงทุนสถาบันเข้ามาร่วมลงทุนประมาณ 1,800 ล้านบาทโดยคาดว่าจะมีมูลค่ากองทุนไทยสร้างโอกาส 2 ในเดือนมีนาคมเพิ่มเป็น 3,500 ล้านบาท
นายวิเชฐ ตันติวานิช รองผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยถึง ความคืบหน้าการลงทุนในกองทุนไทยสร้างโอกาส 2 ว่า หากดัชนีตลาดหุ้นไทยมีการปรับตัวลดลงต่ำกว่า 400 จุด หรือลดลงกลับไปแตะที่จุดต่ำสุดเดิมที่ 380 จุดนั้น จะทำให้บริษัทจดทะเบียน (บจ.) ที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ เคยไปชวนให้เข้ามาร่วมทุนในกองทุนดังกล่าวกลับมาให้ความสนใจและใส่เงินลงทุนในกองทุนไทยสร้างโอกาส 2 หลังจากก่อนหน้านี้บจ. ต่างๆ ได้ชะลอการลงทุนออกไป
ทั้งนี้ จากการที่ดัชนีตลาดหุ้นไทยในช่วงต้นปีได้ปรับตัวเพิ่มขึ้นไป ทำราคาหุ้นตามมูลค่าทางบัญชี (PB) ปรับตัวเพิ่มขึ้น ซึ่งไม่ตรงตามเป้าหมายการลงทุน จึงทำให้ความน่าสนใจในการลงทุนลดลงไป หลังจากก่อนหน้านี้ราคาหุ้นได้ปรับตัวลดลงมากกว่า 1 เท่า จากปัญหาวิกฤตการเงินโลกที่ทำให้ราคาหุ้นต่ำมาก ขณะที่บริษัทจดทะเบียนเองยังมีฐานะทางการเงินที่ดี อัตราหนี้สินต่อหุ้น (DE) ต่ำ และมีอัตราการจ่ายเงินปันผลที่สูง
นอกจากนี้ การที่มีการเปลี่ยนรัฐบาลใหม่นั้นดัชนีตลาดหุ้นไทยทรงตัวปรับตัวเพิ่มขึ้นหรือลดลงไม่แรง บวกกับปัญหาเศรษฐกิจทำให้บริษัทมีการถือครองเงินสดไว้ให้มากที่สุด และลดในเรื่องการลงทุน แต่เชื่อว่าหากราคาหุ้นมีการปรับตัวลดลงไปทำให้ PB ต่ำมาก จะดึงความสนใจจากนักลงทุนและบจ.กลับเข้ามาลงทุน แม้ดัชนีตลาดหุ้นไทยจะมีการปรับตัวอยู่ที่ระดับไหนก็ตาม
“จากการที่ดัชนีตลาดหุ้นมีการปรับตัวเพิ่มขึ้น ทำให้ PB ต่ำมันหายไป จากเคยต่ำกว่า 1 เท่าปรับตัวเพิ่มขึ้นไป จึงทำให้ยังไม่ใช่โอกาสที่จะเข้าไปลงทุน เพราะเดิมที่ตั้งกองทุนนี้เป็นกองทุนเพื่อสร้างโอกาสในการลงทุน จะเข้าไปลงทุนในหุ้นราคาต่ำ ไม่คำนึงถึงดัชนีตลาดหุ้น ขณะที่ตลาดหลักทรัพย์ฯได้ทยอยใส่เงินลงทุน จากมีวงเงินลงทุนมูลค่า 1.7 พันล้านบาท”
นายวิเชฐ กล่าวว่า เมื่อปลายปี 2551 ที่ผ่านมา ตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้ลงทุนในกองทุนไทยสร้างโอกาส 2 ซึ่งได้เข้าไปลงทุนซื้อหุ้นช่วงดัชนีตลาดหุ้นอยู่ที่ประมาณ 384 จุด ทำให้ปัจจุบันตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้รับผลกำไรจากการที่ราคาหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้น ดังนั้น หากดัชนีตลาดหุ้นปรับตัวลดลงต่ำกว่าระดับ 400 จุด คาดว่าจะมีบริษัทจดทะเบียนกลับมาลงทุนในกองทุนดังกล่าวประมาณ 10 แห่ง
อนึ่งก่อนหน้านี้นางภัทรียา เบญจพลชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้จัดตั้งกองทุนไทยสร้างโอกาส 2 โดยให้ทางบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน บลจ.กรุงไทย จำกัด เป็นผู้บริหาร โดยใช้เงินลงทุนในกองทุนดังกล่าวจำนวน 1,700 ล้านบาท หลังจากที่ผ่านนักลงทุนสถาบันเช่น บจ.ไม่สนใจที่จะเข้าร่วมลงทุนด้วย จากภาวะตลาดหุ้นในช่วงต้นปีมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นมาจากช่วงปลายปี แต่ตลาดหลักทรัพย์ฯ ต้องเดินหน้าลงทุนต่อไป
ทั้งนี้ ตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้ทยอยใส่เงินลงทุนในกองทุนไทยสร้างโอกาส 2 ตั้งแต่ปลายปีที่ผ่านมาช่วงที่ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลงไปที่ระดับ 380 จุด แต่หากมีนักลงทุนสถาบันรายใดสนใจที่จะเข้ามาร่วมลงทุนก็สามารถทำได้ โดยทางบลจ.กรุงไทยจะหานักลงทุนสถาบันเข้ามาร่วมลงทุนกับตลาดหลักทรัพย์ฯ ต่อไป แม้ที่ผ่านมาจากการไปชวนบจ.แล้วมีความสนใจ แต่ภาวะตลาดหุ้นที่ปรับตัวขึ้นตอนต้นปีทำให้ชะลอแผนในการที่จะเข้ามาร่วมลงทุน
อย่างไรก็ตาม ตลาดหลักทรัพย์ฯ อาจมีการปรับปรุงเกณฑ์การลงทุนในกองทุนแมทชิ่งฟันด์ใหม่ ในบางเรื่อง เพื่อให้มีการลงทุนที่ยืดหยุ่น เช่น อาจจะมีการลดระยะเวลาการลงทุนลดลง จากเดิมที่กำหนดว่าจะต้องมีการลงทุนยาว 2 ปี เพื่อทำให้การลงทุนมีความยืดหยุ่นในการลงทุนมากขึ้น จากเดิมที่จะต้องลงทุนเป็นเวลานาน
ทั้งนี้ ตลาดหลักทรัพย์ฯ มีวงเงินที่จะใช้ร่วมลงทุนในกองทุน (Matching Fund) มูลค่า 2,000 ล้านบาท ซึ่งมีบลจ. 3 แห่ง ที่ระดมทุนจากนักลงทุนและร่วมลงทุนกับตลาดหลักทรัพย์ฯ โดยตลาดหลักทรัพย์ฯ ใช้เงินร่วมลงทุน 300 ล้านบาท แบ่งเป็น บลจ.ไอเอ็นจี ซึ่งลงทุนในสัดส่วน 1 ต่อ 3 คือ ตลาดหลักทรัพย์ฯ 100 ล้านบาท และบลจ.ไอเอ็นจี ลงทุน 300 ล้านบาท
ส่วน บลจ.ซีมิโก้ และบลจ.เอ็มเอฟซี ซึ่งจะลงทุนในสัดส่วน 1 ต่อ 1.5 คือ ตลาดหลักทรัพย์ฯลงทุน 100 และบลจ.ซีมิโก้ และบลจ.เอ็มเอฟซี ลงทุนแห่งละ 150 ล้านบาท ทำให้ตลาดหลักทรัพย์เหลือเงินอีก 1,700 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม ตลาดหลักทรัพย์ฯคาดว่าผลตอบแทนการลงทุนในปีนี้จะสามารถเป็นบวกได้ จากที่ผ่านมาจากได้รับผลขาดทุนบ้างจากภาวะตลาดหุ้นที่ปรับตัวลดลง ส่วนการลงทุนต่างประเทศนั้นตลาดหลักทรัพย์ฯอยู่ระหว่างการพิจารณา ซึ่งอาจจะไปลงทุนในกองทุนอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งให้ผลตอบแทนที่ดี แต่ตลาดหลักทรัพย์ฯ จะเน้นลงทุนในประเทศไทยก่อน
ด้านนายสมชัย บุญนำศิริ กรรมการผู้จัดการ บลจ.กรุงไทย จำกัด กล่าวว่า ตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้ใส่เงินลงทุนในกองทุนไทยสร้างโอกาส 2 แล้ว ประมาณ 300-400 ล้านบาท และมีนักลงทุนสถาบัน 3 แห่งได้มีการใส่เงินร่วมลงทุน คือ ธนาคารกรุงไทย และบริษัทประกันอีก 2 แห่ง มูลค่า 200-300 ล้านบาท ซึ่งที่ผ่านมีนักลงทุนสถาบันหลายแห่งสนใจที่จะเข้ามาร่วมลงทุนแต่ยังอยู่ทิศทางตลาดหุ้นไทยก่อน
ทั้งนี้ คาดว่าตลาดหลักทรัพย์ฯ จะใส่เงินลงทุนครบ 1,700 ล้านบาท ในเดือนมีนาคม 2552 นี้ และคาดว่าจะมีนักลงทุนสถาบันเข้ามาร่วมลงทุนประมาณ 1,800 ล้านบาทโดยคาดว่าจะมีมูลค่ากองทุนไทยสร้างโอกาส 2 ในเดือนมีนาคมเพิ่มเป็น 3,500 ล้านบาท