ตลาดหุ้นภาคเช้าปิดเช้าบวก 10.81 จุด คาดรีบาวน์ช่วงสั้น เนื่องจากวานนี้มีแรงขายออกมามาก ดัชนียังไม่ผ่าน 400 จุด เนื่องจากยังมีแรงกดดันจากต่างประเทศ แนวโน้มช่วงบ่ายผันผวน โดยมีแนวรับที่ 380 และ 370 จุด
ภาวะการลงทุนในตลาดหุ้นไทย วันนี้ ( 28 ต.ค.) ดัชนีปิดตลาดช่วงเช้าที่ระดับ 398.24 จุด เพิ่มขึ้น 10.81 จุด เปลี่ยนแปลง +2.79%มูลค่าการซื้อขาย 8,670 ล้านบาท นักวิเคราะห์คาดเป็นการรีบาวน์ช่วงสั้น เนื่อจากวานนี้ มีแรงขายมากเกินไป โดยปัจจัยต่างประเทศยังไม่ดีนัก อาจมีการเทขายครั้งใหญ่ออกมาได้ตลอด
นายเทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บล.เอเซีย พลัส กล่าวว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยเช้าวันนี้ ปรับตัวขึ้นกว่า 10 จุด เชื่อว่าเป็นการฟื้นตัวในช่วงสั้นจากการรีบาวน์ทางเทคนิค ภายหลังจากวานนี้ดัชนีฯ ปรับลงหนักกว่า 10% ทำให้ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย(ตลท.) ประกาศพักการซื้อขายชั่วคราว
ทั้งนี้ นายเทิดศักดิ์ ประเมินว่า แรงขายเมื่องวานนี้ มีออกมามากเกินไปในลักษณะ Overreact ถือเป็นความตื่นตระหนกเกินสถานการณ์ทางพื้นฐานการลงทุนที่เกิดขึ้นจริง จึงมีแรงกระตุ้นให้มีแรงซื้อกลับเข้ามาผลักดันให้ดัชนีฯ ดีดกลับไปทดสอบแนวต้านที่ 400 จุด
อย่างไรก็ตาม ทิศทางตลาดหุ้นต่างประเทศที่ยังย่ำแย่ โดยเฉพาะตลาดหุ้นสหรัฐฯ เมื่อคืนนี้ ปิดลบกว่า 200 จุด หลังนักลงทุนเทขายหุ้น เพราะกังวลว่าการชะลอตัวของเศรษฐกิจจะยืดเยื้อ และภาวะตึงตัวในตลาดสินเชื่อ จะทำให้การฟื้นตัวของตลาดอสังหาริมทรัพย์ล่าช้าออกไป อีกทั้งแรงขายของกองทุนต่างชาติเพื่อเสริมสภาพคล่อง และสำรองเงินสดเพื่อรองรับการไถ่ถอนหน่วยลงทุนครั้งใหญ่ในภาวะการลงทุนที่ขาดความเชื่อมั่น กดดันให้ตลาดหุ้นหลายแห่งในเอเชียปรับลงทำจุดต่ำสุดใหม่อย่างต่อเนื่อง น่าจะยังเป็นปัจจัยลบที่กดดันให้ดัชนีฯ ไม่สามารถปรับขึ้นยืนเหนือ 400 จุดได้
ในส่วนของการประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) คาดว่าจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยฯลงอย่างรุนแรงราว 0.5% สำหรับการประชุมในวันที่ 28–29 ต.ค. นี้ ทำให้อัตราดอกเบี้ยลงไปอยู่ที่ระดับ 1% เพื่อฟื้นความเชื่อมั่นของนักลงทุน ขณะที่ธนาคารกลางทั่วโลกต้องเร่งออกมาตรการช่วยเหลือสถาบันการเงินอย่างต่อเนื่อง เช่น ธนาคารกลางเกาหลีใต้ เตรียมจะอัดฉีดเม็ดเงินสู่ระบบราว 7.02 พันล้านเหรียญฯ ขณะที่กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) เริ่มให้เงินกู้ต่อประเทศในแถบยุโรป แก้ปัญหาภาวะสภาพคล่องที่ตึงตัว
นางสาวจิตรา อมรธรรม รองกรรมการผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ไซรัส กล่าวว่า ตลาดหุ้นทั่วโลกยังไม่พ้นความเสี่ยง เนื่องจากเมื่อคืนนี้ ดัชนีดาวโจนส์ปิดร่วงลงว่า 200 จุด นักลงทุนส่วนใหญ่ยังคงมีแรงเทขายออกมาอย่างต่อเนื่อง สสะท้อนความวิตกกังวลเกี่ยวกับเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ส่งสัญญาณการถดถอยที่ชัดเจน อีกทั้งความกังวลผลประกอบการภาคเอกชน ซึ่งได้รับผลกระทบจากปัญหาในตลาดการเงินและตลาดสินเชื่อ
นอกจากนี้ คาดว่านักลงทุนจะจับตาดูข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญๆของสหรัฐฯ ที่คาดว่าตัวเลขต่างๆ อาจออกมาในระดับที่ต่ำ ซึ่งสถานการณ์ดังกล่าวสะท้อนให้เห็นว่านักลงทุนยังขาดความเชื่อมั่นในมาตรการต่างๆ ที่รัฐบาลและธนาคารกลางทั่วโลกพยายามนำออกมาใช้ เพื่อยับยั้งเศรษฐกิจถดถอย ขณะที่ล่าสุด บริษัท เจนเนอรัล มอเตอร์ส ปรับลดเครดิตลงซึ่งเป็นสัญญาณที่บ่งอกได้อย่างชัดเจนว่าวิฤตดังกล่าวได้ลามสู่ภาคเศรษฐกิจที่แท้จริง
ส่วนในประเทศ นักลงทุนเริ่มมีความกังวลว่า ประเทศไทยจะได้รับผลกระทบจากภาคผลิตเพื่อส่งออกชะลอลง และคาดว่าอาจยืดเยื้อยาวถึงต้นปี 2552 ทำให้การจ้างงานภาคอุตสาหกรรมที่อาจมีการจ้างงานที่ลดลงทั้งหมดนี้เป็นผลมาจากเศรษฐกิจโลกชะลอตัว หลายกลุ่มอุตสาหกรรมมียอดสั่งซื้อลดลงในหลายประเทศที่ไทยส่งออก
อีกประการที่สำคัญ คงต้องติดตามประกาศตัวเลขทางเศรษฐกิจหรือ GDP ประจำไตรมาส 3 ของสหรัฐฯ ที่จะมีการประกาศในวันที่ 30 พ.ย. นี้ว่าจะติดลบหรือไม่ เนื่องจากได้รับผลกระทบจากวิกฤตทำให้นักวิเคราะห์บางส่วน เริ่มมีการปรับประมาณการของ GDP ของสหรัฐฯ ซึ่งเป็นการส่งสัญณาณเชิงลบว่า วิกฤตเศรษฐกิจของสหรัฐฯ จะไม่สามารถมียุติในระยะสั้น
นายวีระชัย ครองสามสี ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บล.ฟาร์อีสท์ กล่าวว่า ตลาดหุ้นเช้านี้ยังได้รับผลกระทบหลายๆ ส่วนโดยเฉพาะตลาดหุ้นต่างประเทศที่ยังเป็นความกังวลภาวะเศรษฐกิจโลก และคาดว่าการประกาศตัวเลข GDP ของสหรัฐในวันที่ 30 ต.ค.นี้ จะติดลบอยู่ แต่จะมากหรือน้อยนักลงทุนกำลังดูอยู่ ส่วนเฟดที่คาดว่าจะประกาศลดดอกเบี้ย แต่คงไม่มีผลต่อตลาดมากนัก
"ช่วงสั้นคนยังตื่นตระหนกอยู่ ส่วนหนึ่งเรื่องแรงขายของกองทุนและต่างชาติ และตอนนี้ผลกระทบไม่ได้เกิดขึ้นในยุโรปและเอเชีย แต่ลุกลามรวดเร็วไปประเทศที่ร่ำรวยบ่อน้ำมัน อย่างตะวันออกกลาง ก็ถูกกระทบอย่างหนัก"
แนวโน้มช่วงบ่ายก็น่าจะแกว่งตัวแค่คิดว่าตลาดความผันผวนอาจจะไม่มากนัก ตอนนี้เป็นลักษณะอารมณ์มากกว่า มองแนวรับ 380 370 จุด