ผู้จัดการรายวัน – ตลาดหุ้นไทยเข้าขั้นวิกฤตหนัก หลังรัฐบาลทรราชใช้กำลังทำร้ายประชาชนผู้บริสุทธิ์ บวกกับวิกฤตการเงินสหรัฐฯ ลุกลาม กดดัชนีหุ้นหลุด 500 จุด ก่อนจะปิดการซื้อขายที่ 492.34 จุด ร่วงกว่า 36 จุด มูลค่าลดวูบเหลือแค่ 3.91 ล้านล้านบาท สูญไปกว่า 1 ล้านล้านภายในเวลาไม่ถึงเดือน หรือ 40% จากต้นปีที่ผ่านมา โดย BANPU-PTT กอดคอร่วงต่ำกว่า 200 บาทแล้ว ด้าน “ภัทรียา” แจงหุ้นดิ่งตามตลาดภูมิภาค พร้อมโปรยยาหอมกองทุนดูไบสนลงทุนในไทย แต่ต้องรอวิกฤตสหรัฐฯ คลี่คลาย ขณะที่เลขาฯ สมาคมนักวิเคราะห์ เผยต่างชาติจะยังเทขายหุ้นต่อเนื่อง ฉุดดัชนีรูดยาวได้ถึง 60% หลังจากรูปแล้ว 45% ส่วนโบรกเกอร์ ยังหาแนวรับ-แนวต้านไม่เจอ
บรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นไทย วานนี้ (8 ต.ค.) นักลงทุนยังคงทิ้งหุ้นขนาดใหญ่ออกมาอย่างหนัก จากเหตุการณ์ความรุนแรงทางการเมือง ที่เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ใช้ความรุนแรงสลายการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย จนทำให้มีผู้เสียชีวิต และบาดเจ็บเป็นจำนวนมาก บวกกับตลาดหุ้นต่างประเทศทั่วโลกต่างปรับตัวลดลง จากวิกฤตสถาบันการเงินสหรัฐฯ ยังไม่ทีท่าจะยุติ และยังคงขยายวงกว้างกระทบระบบการเงินทั่วโลก
โดยดัชนีตลาดหุ้นไทย ได้ปรับตัวลดลงตั้งแต่เปิดทำการซื้อขาย โดยมีจุดสูงสุดที่ 517.29 จุด ก่อนที่จะลดลงอย่างรุนแรงหลุดแนวรับสำคัญที่ระดับ 500 จุด และลดลงแตะจุดต่ำสุดที่ 483.91 จุด ลดลงกว่า 44.80 จุด หรือคิดเป็น 8.47% ก่อนจะเด้งกลับขึ้นมาเล็กน้อยปิดการซื้อขายที่ 492.34 จุด ลดลงจากวันก่อน 36.37 จุด คิดเป็น 6.88% มูลค่าการซื้อขายรวม 17,461.33 ล้านบาท
ทั้งนี้ นักลงทุนต่างประเทศขายสุทธิรวม 1,924.42 ล้านบาท นักลงทุนสถาบันขายสุทธิ 422.12 ล้านบาท และนักลงทุนรายย่อยซื้อสุทธิ 2,346.55 ล้านบาท ขณะที่มูลค่าตามราคาตลาดรวมลดต่ำกว่า 4 ล้านล้านบาท เหลือ 3.91 ล้านล้านบาท หลังจากหลุด 5 ล้านล้านบาท เมื่อวันที่ 16 ก.ย. 51 ที่ผ่านมา หากเทียบกับต้นปีมาร์เกตแคปอยู่ที่ 6.53 ล้านบาท พบว่า มาร์เกตแคปลดลงกว่า 2.62 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วนกว่า 40.12%
สำหรับหลักทรัพย์ที่มีการซื้อขายสูงสุด 3 อันดับแรก คือ บมจ.ปตท. (PTT) ราคาปิด 183 บาท ลดลง 12 บาท หรือ 6.15% มูลค่า1,742.70 ล้านบาท บมจ.ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม (PTTEP) ปิด 100 บาท ลดลง 6 บาท หรือ 5.66% มูลค่า 1,620.23 ล้านบาท และบมจ.บ้านปู (BANPU) ปิด 198 ล้านบาท ลดลง 24 บาท หรือ 10.81% มูลค่า 1,554.22 ล้านบาท
***ดัชนีหุ้นดิ่งตามตลาดภูมิภาค
นางภัทรียา เบญจพลชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ให้สัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ระหว่างการเดินทางไปร่วมประชุมรัฐมนตรีคลังอาเซียน ที่เมืองดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยที่ปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่องเกิดจากนักลงทุนไม่แน่ใจปัญหาวิกฤตสถาบันการเงินสหรัฐฯ และยุโรปจะคลี่คลายเมื่อใด จึงเทขายหุ้นออกมา แต่ดัชนีตลาดหุ้นไทยที่ปรับตัวลดลงเป็นไปในทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นภูมิภาค
ทั้งนี้ หากประเมินด้านปัจจัยพื้นฐานของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) จะพบว่ากำไรของบริษัทจดทะเบียนยังคงมีอัตราการเติบโตที่ดีมาโดยตลอด ดั้งนั้นจึงเป็นปัจจัยที่จะช่วยสนับสนุนให้ตลาดหุ้นไทยฟื้นตัวได้ ถ้าสถานการณ์ทุกอย่างเริ่มคลี่คลายและมีทิศทางที่ดีขึ้น
สำหรับการร่วมประชุมรัฐมนตรีคลังอาเซียนครั้งนี้ ตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้ร่วมกับนายสมชัย สัจจพงษ์ ที่ปรึกษาเศรษฐกิจการคลัง สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ได้นำเสนอข้อมูลเศรษฐกิจและบรรยากาศการลงทุนในประเทศไทย
โดยตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้พบกับนักลงทุนสถาบัน 2 ราย เป็นลักษณะ one-no –one คือ ธนาคารอิสลามแห่งดูไบ และดูไบอินเตอร์แนลชั่นเนลแคปปิตอล ซึ่งมีมูลค่าการลงทุน 1.3-1.4 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ แบ่งเป็นการลงทุนเอเชียจำนวน 5 พันล้านเหรียญสหรัฐ โดยจะลงทุนแต่ละครั้งประมาณ 200-250 ล้านเหรียญสหรัฐ
นางภัทรียา กล่าวว่า กองทุนทั้ง 2 แห่ง มีความสนใจจะเข้ามาลงทุนระยะยาวในประเทศไทย แต่รอจังหวะที่เหมาะสมยังไม่เข้ามาในขณะนี้ ซึ่งการเข้ามาลงทุนจะเป็นลักษณะการลงทุนโดยตรงในธุรกิจโรงพยาบาล โครงสร้างสาธารณูปโภค และโครงการเมกะโปรเจ็กต์
“หากนักลงทุนดูไบจะเข้ามาลงทุนนั้นจะเป็นในระยะยาวมากกว่า จากขณะนี้ยังไม่มีใครตัดสินใจในการเข้ามาลงทุนจากปัญหาวิกฤตสถาบันการเงินสหรัฐและยุโรป ที่ส่งผลกระทบ โดยการลงทุนของนักลงทุนดูไบนั้นส่วนใหญ่จะเน้นลงทุนตรง มากกว่าการลงทุนในหุ้น เพราะ แต่ละครั้งที่ลงทุนนั้นจะใช้เงินจำนวนมาก ทำให้มีบจ.ไม่มากที่จะรองรับการเข้ามาลงทุนของนักลงทุนดังกล่าวได้”นางภัทรียา กล่าวว่า
สำหรับปัจจัยการเมืองในประเทศไทยที่มีความรุนแรงนั้น ทางนักลงทุนดูไบไม่ได้ให้ความสนใจมากนัก เพราะนักลงทุนดังกล่าวจะให้น้ำหนักกับภาพรวมมากกว่า โดยเฉพาะปัญหาสถาบันการเงินของสหรัฐฯ และยุโรป แต่หากนักลงทุนดังกล่าวจะเข้ามาลงทุนจริง อาจจะมีการสอบถามเรื่องการเมืองภายในประเทศบ้าง
***ดัชนีมีสิทธิร่วงลากยาวถึง 60%
นายสมบัติ นราวุฒิชัย เลขาธิการสมาคมนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ กล่าวว่า ขณะนี้ดัชนีตลาดหุ้นไทยได้ปรรับตัวลดลงแล้วประมาณ 45% และมีโอกาสที่จะลดลงต่อได้ถึงระดับ 50-60% เมื่อเปรียบเทียบกับสถิติในอดีตที่เกิดวิกฤตเศรษฐกิจจากต่างประเทศจะกดดันให้ดัชนีตลาดหุ้นปรับตัวลดลงในระดับที่ใกล้เคียงกับระดับดังกล่าว โดยเหตุการณ์ Back Monday ดัชนีหุ้นไทยลลดลง 49% สงครามอิรัก ลดลง 52% เป็นต้น
“หุ้นตกครั้งนี้เกิดจากปัจจัยต่างประเทศเป็นหลัก และนักลงทุนต่างชาติจะยังทยอยขายหุ้นออกไปเรื่อยๆ โดยไม่คำนึงว่าพื้นฐานของหุ้นเป็นอย่างไรเพื่อนำเงินกลับไปเพิ่มสภาพคล่องให้กับสถาบันการเงินที่มีปัญหา แต่ปัจจัยที่จะเข้ามาช่วยพยุงราคาหุ้นในขณะนี้คือ การเมืองในประเทศ หากรัฐบาลประกาศยุบสภา จัดให้มีการเลือกตั้งใหม่ หรือทางออกที่ดีกับทุกฝ่ายจะช่วยตลาดหุ้นได้”
สำหรับกลยุทธ์การลงทุนในช่วงนี้แนะนำให้ซื้อหุ้นและถือยาว โดยดูพื้นฐานของบริษัทเป็นหลัก อาทิ หุ้นในกลุ่มผลิตไฟฟ้า ได้แก่ บมจ.ผลิตไฟฟ้าราชบุรีโฮลดิ้ง (RATCH) ที่มีอัตราเงินปันผลตอบแทนถึง 6% และบมจ.ผลิตไฟฟ้า (EGCO) อัตราเงินปันผลตอบแทน 8% ขณะเดียวกัน ควรหลีกเลี่ยงหุ้นกลุ่มนิคมอุตสาหกรรมที่จะได้รับผลกระทบจากการชะลอตัวทางเศรษฐกิจ และหุ้นพลังงานที่ต้องแบกรับความเสี่ยงจากแรงเทขายของต่างชาติ
***หุ้นไทยหาแนวรับ-ต้านไม่เจอ
นางสาวจิตรา อมรธรรม ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ไซรัส จำกัด (มหาชน) หรือSYRUS กล่าวว่า ปัจจัยที่เข้ามากดดันดัชนีตลาดหุ้นไทย คือ ความวิตกกังวลต่อปัญหาทางการเมืองในประเทศที่จะทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น หลังเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ใช้ความรุนแรงสลายการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯ จนทำให้มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมาก และวิกฤตสถาบันการเงินทีลุกลามบานปลาย รวมถึงการบังคับขาย (force sell) หลังจากราคาหุ้นปรับตัวลดลงมามากแล้ว
ส่วนแนวน้าตลาดหุ้นวันนี้ คาดว่าจะยังอยู่ในช่วงขาลง โดยนักลงทุนต้องติดตามสถานการณ์ทางการเมืองและแนวทางการแก้ปัญหาวิกฤตสถาบันการเงิน ให้แนวรับที่ 474-484 จุด และแนวต้านที่ 510 จุด ดังนั้นนักลงทุนระยะสั้นให้รีบขายหุ้นหากราคาปรับตัวขึ้น แต่นักลงทุนระยะยาวที่ต้องการถือเกิน 1 ปี สามารถเข้าไปลงทุนได้
นางสาวปองรัตน์ รัตนะตวณานนท์ ผู้อำนวยการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล. บัวหลวง จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวในทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นต่างประเทศที่ปรัรบตัวลดลงประมาณ 5-6% จากวิกฤตสถาบันการเงินสหรัฐฯ ขณะที่ตลาดหุ้นไทยยังต้องเจอวิกฤตการเมืองที่ทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น ดังนั้นนักลงทุนควรชะลอการลงทุนเพื่อติดตามทั้ง 2 ปัจจัยอย่างใกล้ชิด โดยขณะนี้ไม่สามารถประเมินแนวรับ-และแนวต้านได้
นายชัย จิรเสวีนุประพันธ์ ผู้จัดการ ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บล. พัฒนสิน จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยยังคงได้รับแรงกดดันจากวิกฤตการเงินสหรัฐฯ ที่ขยายวงกว้างและยังไม่มีท่าทีจะคลี่คลาย รวมถึงการเมืองในประเทศที่รุนแรงมากยิ่งขึ้น ขณะที่แนวโน้มวันนี้ ดัชนีตลาดหุ้นไทยยังอยู่ในช่วงขาลง โดยนักลงทุนต้องจับตาความคืบหน้าการแก้ไขวิกฤตการเงินสหรัฐฯ และการเมืองในประเทศเป็นหลัก โดยแนวรับที่ 480 จุด และแนวต้าน 510 จุด
บรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นไทย วานนี้ (8 ต.ค.) นักลงทุนยังคงทิ้งหุ้นขนาดใหญ่ออกมาอย่างหนัก จากเหตุการณ์ความรุนแรงทางการเมือง ที่เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ใช้ความรุนแรงสลายการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย จนทำให้มีผู้เสียชีวิต และบาดเจ็บเป็นจำนวนมาก บวกกับตลาดหุ้นต่างประเทศทั่วโลกต่างปรับตัวลดลง จากวิกฤตสถาบันการเงินสหรัฐฯ ยังไม่ทีท่าจะยุติ และยังคงขยายวงกว้างกระทบระบบการเงินทั่วโลก
โดยดัชนีตลาดหุ้นไทย ได้ปรับตัวลดลงตั้งแต่เปิดทำการซื้อขาย โดยมีจุดสูงสุดที่ 517.29 จุด ก่อนที่จะลดลงอย่างรุนแรงหลุดแนวรับสำคัญที่ระดับ 500 จุด และลดลงแตะจุดต่ำสุดที่ 483.91 จุด ลดลงกว่า 44.80 จุด หรือคิดเป็น 8.47% ก่อนจะเด้งกลับขึ้นมาเล็กน้อยปิดการซื้อขายที่ 492.34 จุด ลดลงจากวันก่อน 36.37 จุด คิดเป็น 6.88% มูลค่าการซื้อขายรวม 17,461.33 ล้านบาท
ทั้งนี้ นักลงทุนต่างประเทศขายสุทธิรวม 1,924.42 ล้านบาท นักลงทุนสถาบันขายสุทธิ 422.12 ล้านบาท และนักลงทุนรายย่อยซื้อสุทธิ 2,346.55 ล้านบาท ขณะที่มูลค่าตามราคาตลาดรวมลดต่ำกว่า 4 ล้านล้านบาท เหลือ 3.91 ล้านล้านบาท หลังจากหลุด 5 ล้านล้านบาท เมื่อวันที่ 16 ก.ย. 51 ที่ผ่านมา หากเทียบกับต้นปีมาร์เกตแคปอยู่ที่ 6.53 ล้านบาท พบว่า มาร์เกตแคปลดลงกว่า 2.62 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วนกว่า 40.12%
สำหรับหลักทรัพย์ที่มีการซื้อขายสูงสุด 3 อันดับแรก คือ บมจ.ปตท. (PTT) ราคาปิด 183 บาท ลดลง 12 บาท หรือ 6.15% มูลค่า1,742.70 ล้านบาท บมจ.ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม (PTTEP) ปิด 100 บาท ลดลง 6 บาท หรือ 5.66% มูลค่า 1,620.23 ล้านบาท และบมจ.บ้านปู (BANPU) ปิด 198 ล้านบาท ลดลง 24 บาท หรือ 10.81% มูลค่า 1,554.22 ล้านบาท
***ดัชนีหุ้นดิ่งตามตลาดภูมิภาค
นางภัทรียา เบญจพลชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ให้สัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ระหว่างการเดินทางไปร่วมประชุมรัฐมนตรีคลังอาเซียน ที่เมืองดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยที่ปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่องเกิดจากนักลงทุนไม่แน่ใจปัญหาวิกฤตสถาบันการเงินสหรัฐฯ และยุโรปจะคลี่คลายเมื่อใด จึงเทขายหุ้นออกมา แต่ดัชนีตลาดหุ้นไทยที่ปรับตัวลดลงเป็นไปในทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นภูมิภาค
ทั้งนี้ หากประเมินด้านปัจจัยพื้นฐานของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) จะพบว่ากำไรของบริษัทจดทะเบียนยังคงมีอัตราการเติบโตที่ดีมาโดยตลอด ดั้งนั้นจึงเป็นปัจจัยที่จะช่วยสนับสนุนให้ตลาดหุ้นไทยฟื้นตัวได้ ถ้าสถานการณ์ทุกอย่างเริ่มคลี่คลายและมีทิศทางที่ดีขึ้น
สำหรับการร่วมประชุมรัฐมนตรีคลังอาเซียนครั้งนี้ ตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้ร่วมกับนายสมชัย สัจจพงษ์ ที่ปรึกษาเศรษฐกิจการคลัง สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ได้นำเสนอข้อมูลเศรษฐกิจและบรรยากาศการลงทุนในประเทศไทย
โดยตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้พบกับนักลงทุนสถาบัน 2 ราย เป็นลักษณะ one-no –one คือ ธนาคารอิสลามแห่งดูไบ และดูไบอินเตอร์แนลชั่นเนลแคปปิตอล ซึ่งมีมูลค่าการลงทุน 1.3-1.4 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ แบ่งเป็นการลงทุนเอเชียจำนวน 5 พันล้านเหรียญสหรัฐ โดยจะลงทุนแต่ละครั้งประมาณ 200-250 ล้านเหรียญสหรัฐ
นางภัทรียา กล่าวว่า กองทุนทั้ง 2 แห่ง มีความสนใจจะเข้ามาลงทุนระยะยาวในประเทศไทย แต่รอจังหวะที่เหมาะสมยังไม่เข้ามาในขณะนี้ ซึ่งการเข้ามาลงทุนจะเป็นลักษณะการลงทุนโดยตรงในธุรกิจโรงพยาบาล โครงสร้างสาธารณูปโภค และโครงการเมกะโปรเจ็กต์
“หากนักลงทุนดูไบจะเข้ามาลงทุนนั้นจะเป็นในระยะยาวมากกว่า จากขณะนี้ยังไม่มีใครตัดสินใจในการเข้ามาลงทุนจากปัญหาวิกฤตสถาบันการเงินสหรัฐและยุโรป ที่ส่งผลกระทบ โดยการลงทุนของนักลงทุนดูไบนั้นส่วนใหญ่จะเน้นลงทุนตรง มากกว่าการลงทุนในหุ้น เพราะ แต่ละครั้งที่ลงทุนนั้นจะใช้เงินจำนวนมาก ทำให้มีบจ.ไม่มากที่จะรองรับการเข้ามาลงทุนของนักลงทุนดังกล่าวได้”นางภัทรียา กล่าวว่า
สำหรับปัจจัยการเมืองในประเทศไทยที่มีความรุนแรงนั้น ทางนักลงทุนดูไบไม่ได้ให้ความสนใจมากนัก เพราะนักลงทุนดังกล่าวจะให้น้ำหนักกับภาพรวมมากกว่า โดยเฉพาะปัญหาสถาบันการเงินของสหรัฐฯ และยุโรป แต่หากนักลงทุนดังกล่าวจะเข้ามาลงทุนจริง อาจจะมีการสอบถามเรื่องการเมืองภายในประเทศบ้าง
***ดัชนีมีสิทธิร่วงลากยาวถึง 60%
นายสมบัติ นราวุฒิชัย เลขาธิการสมาคมนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ กล่าวว่า ขณะนี้ดัชนีตลาดหุ้นไทยได้ปรรับตัวลดลงแล้วประมาณ 45% และมีโอกาสที่จะลดลงต่อได้ถึงระดับ 50-60% เมื่อเปรียบเทียบกับสถิติในอดีตที่เกิดวิกฤตเศรษฐกิจจากต่างประเทศจะกดดันให้ดัชนีตลาดหุ้นปรับตัวลดลงในระดับที่ใกล้เคียงกับระดับดังกล่าว โดยเหตุการณ์ Back Monday ดัชนีหุ้นไทยลลดลง 49% สงครามอิรัก ลดลง 52% เป็นต้น
“หุ้นตกครั้งนี้เกิดจากปัจจัยต่างประเทศเป็นหลัก และนักลงทุนต่างชาติจะยังทยอยขายหุ้นออกไปเรื่อยๆ โดยไม่คำนึงว่าพื้นฐานของหุ้นเป็นอย่างไรเพื่อนำเงินกลับไปเพิ่มสภาพคล่องให้กับสถาบันการเงินที่มีปัญหา แต่ปัจจัยที่จะเข้ามาช่วยพยุงราคาหุ้นในขณะนี้คือ การเมืองในประเทศ หากรัฐบาลประกาศยุบสภา จัดให้มีการเลือกตั้งใหม่ หรือทางออกที่ดีกับทุกฝ่ายจะช่วยตลาดหุ้นได้”
สำหรับกลยุทธ์การลงทุนในช่วงนี้แนะนำให้ซื้อหุ้นและถือยาว โดยดูพื้นฐานของบริษัทเป็นหลัก อาทิ หุ้นในกลุ่มผลิตไฟฟ้า ได้แก่ บมจ.ผลิตไฟฟ้าราชบุรีโฮลดิ้ง (RATCH) ที่มีอัตราเงินปันผลตอบแทนถึง 6% และบมจ.ผลิตไฟฟ้า (EGCO) อัตราเงินปันผลตอบแทน 8% ขณะเดียวกัน ควรหลีกเลี่ยงหุ้นกลุ่มนิคมอุตสาหกรรมที่จะได้รับผลกระทบจากการชะลอตัวทางเศรษฐกิจ และหุ้นพลังงานที่ต้องแบกรับความเสี่ยงจากแรงเทขายของต่างชาติ
***หุ้นไทยหาแนวรับ-ต้านไม่เจอ
นางสาวจิตรา อมรธรรม ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ไซรัส จำกัด (มหาชน) หรือSYRUS กล่าวว่า ปัจจัยที่เข้ามากดดันดัชนีตลาดหุ้นไทย คือ ความวิตกกังวลต่อปัญหาทางการเมืองในประเทศที่จะทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น หลังเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ใช้ความรุนแรงสลายการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯ จนทำให้มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมาก และวิกฤตสถาบันการเงินทีลุกลามบานปลาย รวมถึงการบังคับขาย (force sell) หลังจากราคาหุ้นปรับตัวลดลงมามากแล้ว
ส่วนแนวน้าตลาดหุ้นวันนี้ คาดว่าจะยังอยู่ในช่วงขาลง โดยนักลงทุนต้องติดตามสถานการณ์ทางการเมืองและแนวทางการแก้ปัญหาวิกฤตสถาบันการเงิน ให้แนวรับที่ 474-484 จุด และแนวต้านที่ 510 จุด ดังนั้นนักลงทุนระยะสั้นให้รีบขายหุ้นหากราคาปรับตัวขึ้น แต่นักลงทุนระยะยาวที่ต้องการถือเกิน 1 ปี สามารถเข้าไปลงทุนได้
นางสาวปองรัตน์ รัตนะตวณานนท์ ผู้อำนวยการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล. บัวหลวง จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวในทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นต่างประเทศที่ปรัรบตัวลดลงประมาณ 5-6% จากวิกฤตสถาบันการเงินสหรัฐฯ ขณะที่ตลาดหุ้นไทยยังต้องเจอวิกฤตการเมืองที่ทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น ดังนั้นนักลงทุนควรชะลอการลงทุนเพื่อติดตามทั้ง 2 ปัจจัยอย่างใกล้ชิด โดยขณะนี้ไม่สามารถประเมินแนวรับ-และแนวต้านได้
นายชัย จิรเสวีนุประพันธ์ ผู้จัดการ ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บล. พัฒนสิน จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยยังคงได้รับแรงกดดันจากวิกฤตการเงินสหรัฐฯ ที่ขยายวงกว้างและยังไม่มีท่าทีจะคลี่คลาย รวมถึงการเมืองในประเทศที่รุนแรงมากยิ่งขึ้น ขณะที่แนวโน้มวันนี้ ดัชนีตลาดหุ้นไทยยังอยู่ในช่วงขาลง โดยนักลงทุนต้องจับตาความคืบหน้าการแก้ไขวิกฤตการเงินสหรัฐฯ และการเมืองในประเทศเป็นหลัก โดยแนวรับที่ 480 จุด และแนวต้าน 510 จุด