บอร์ดสภาพัฒน์ฯ ไฟเขียวงบลงทุนรัฐวิสาหกิจปี 52 รวม 4.73 แสนล้านบาท 5% ของจีดีพี พร้อมเบิกจ่ายอภิมหาโครงการ 2.3 แสนล้าน ในปีเดียว แต่เทียบปี 51 ลดลงกว่า 5.7 หมื่นล้าน เหตุรอความชัดเจน 3 โครงการยักษ์ "3 จี-ซื้อเครื่องบิน-รถไฟความเร็วสูง" ยอมรับห่วงปรับโครงสร้างหนี้ใน ขสมก. รฟท. และการเคหะแห่งชาติ ขณะที่ “เลี้ยบ” เร่งฉีดเงินรากหญ้าหาเสียง ล่าสุดอัดเอสเอ็มแอลอีก 4.8 พันล้าน
นายอาคม เติมวิทยาไพศิษฐ์ รองเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เปิดเผยว่า บอร์ด สศช. เห็นชอบกรอบวงเงินงบลงทุนของรัฐวิสาหกิจประจำปีงบประมาณ 2552 เป็นงบลงทุนจากรัฐวิสาหกิจ จำนวน 53 แห่งสังกัด 17 กระทรวง เป็นวงเงินดำเนินการ จำนวน 473,030 ล้านบาท คิดเป็น 5% ของ GDP โดยเป็นงบเบิกจ่ายให้กับโครงการที่มีความพร้อม 231,882 แสนล้านบาท กรอบวงเงินดำเนินการปี 2552 จะแบ่งเป็น 1.งบโครงการและงบลงทุนปกติ จำนวน 410,477 ล้านบาท 2. งบโครงการใหม่ จำนวน 57,528 ล้านบาท และ 3.งบสำรองเพื่อเพิ่มเติมระหว่างปี 2552 จำนวน 5,025 ล้านบาท โดยงบสำรองถือเป็นอาจจะมีการขออนุมัติลงทุนเพิ่มเติมจากรัฐวิสาหกิจ หมายความว่า รัฐวิสาหกิจจะมีความต้องการลงทุนระหว่างปีหรือไม่ จึงต้องมีการสำรองงบประมาณไว้ทุกปี เพราะบางโครงการอาจจะยังไม่ได้รับอนุมัติ และยังไม่มีรายละเอียดก็จะมีวงเงินไว้ใช้
อย่างไรก็ตาม กรอบวงเงินเบิกจ่ายในปี 2552 ลดลงจากปี 2551 ร้อยละ20 (57,874 ล้านบาท) จากปี 2551 (วงเงิน 289,759 ล้านบาท) ขณะเดียวกันการลดวงเงินเบิกจ่ายลงเนื่องจากบางโครงการยังไม่มีรายละเอียด ยังไม่ได้เสนอมาให้บอร์ดสภาพัฒน์ฯ พิจารณา เช่น โครงการ 3 จีของทีโอทีงบประมาณจำนวน 2.9 หมื่นล้านบาท โครงการซื้อเครื่องบินของการบินไทย (ไทยอินเตอร์) ฝูงใหม่ 3.8 หมื่นล้านบาท โครงการรถไฟความเร็วสูงของ รฟท. เป็นต้น
นายอาคมกล่าวว่า บอร์ดสภาพัฒน์ฯ ได้ตั้งข้อสังเกตว่า ในแง่ทิศทางในการลงทุนอาจจะเรียกว่าไม่มีการชี้นำในเรื่องของสิ่งที่ควรจะลงทุน และเปิดโอกาสให้รัฐวิสาหกิจคิดมา โดยได้มีการปรับลดงบลงทุนจากจำนวนที่เสนอมา 483,876 ล้านบาท นอกจากนี้ยังมองว่า งบลงทุนรัฐวิสาหกิจในปี 2552 ที่จะต้องเป็นภาคกระตุ้นเศรษฐกิจ กลับมีการเสนอเข้ามาน้อยกว่าปี 2551 ซึ่งรัฐวิสาหกิจและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงฯ นั้น จะต้องไปพิจารณาว่าสิ่งใดคือยุทธศาสตร์ในการลงทุนที่จะต้องไปเพิ่มความสามารถในการลงทุนในขอบข่ายของโครงสร้าง และการบริการขั้นพื้นฐาน หรือโครงการสาธารณูปโภคต่าง ๆ
ทั้งนี้ บอร์ดสภาพัฒน์ ยังเป็นห่วง การพัฒนาและปรับโครงสร้างรัฐวิสาหกิจที่ขาดทุน โดยเฉพาะหนี้ที่จะต้องดำเนินตามโครงสร้างการสะสางหนี้ เช่น การปรับโครงสร้าง ขสมก. แผนการฟื้นฟู รฟท. และการเคหะแห่งชาติรวมไปถึงรัฐวิสาหกิจที่ขาดทุนแต่ขนาดไม่ใหญ่ ขณะเดียวกันยังเป็นห่วงการดำเนินการของ การบินไทย ในภาวะน้ำมันเชื้อเพลิงราคาสูงทำให้ไทยอินเตอร์ขาดทุนใน 1-2 เดือนแม้จะมีกำไรก็ควรที่จะปรับปรุงองค์กรเพื่อตอบสนองปัจจัยเสี่ยง
ขณะที่แผนการปรับปรุงศักยภาพองค์กร มีการตั้งคำถามในเรื่องของงบประมาณที่มีการใช้ค่อนข้างน้อยเพียงร้อยละ 0.5 ของงบลงทุน ขณะเดียวกันยังแสดงความเป็นห่วงในเรื่องของการความรับผิดชอบต่อสังคม ของรัฐวิสาหกิขนาดใหญ่
รายงานข่าวแจ้งว่า ขณะที่งบลงทุนของรัฐวิสาหกิจประจำปีงบประมาณ 2551 ที่รัฐบาล พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ เห็นชอบกรอบวงเงินงบลงทุนดำเนินการฯ จำนวน 508,133 ล้านบาท ขณะที่งบเบิกจ่ายวงเงิน 289,759 ล้านบาท คิดเป็น 3.2% ของ GDP โดยเป็นการลงทุนที่มีความพร้อม 2.16 แสนล้านบาท และการลงทุนที่ต้องรอขออนุมัติตามขั้นตอน 7.3 หมื่นล้านบาท ประกอบด้วย โครงการลงทุนใหม่ 3.2 หมื่นล้านบาท ขณะที่คาดว่าในปีงบประมาณ 2551 รัฐวิสาหกิจจะมีกำไรสุทธิ 8.47 หมื่นล้านบาท ขณะที่ปีงบประมาณ 2552 – 2554 คาดว่าจะมีกำไรสุทธิเฉลี่ยปีละ 9.85 หมื่นล้านบาท โดยมีการเบิกจ่ายลงทุนรวม 7.39 แสนล้านบาท หรือเฉลี่ยปีละ 2.48 แสนล้านบาท
.ค.51
**เลี้ยบฉีดรากหญ้าผ่านSML 4.8 พันล้าน
นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี รองนายกฯ และ รมว.คลัง เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการพัฒนาศักยภาพของหมู่บ้านและชุมชน (เอสเอ็มแอล) ตามแนวปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ได้เห็นชอบการโอนเงินงบประมาณ 4,800 ล้านบาท ให้กับหมู่บ้านและชุมชนเมืองอีกกว่า 21,000 แห่งทั่วประเทศที่ยังค้างอยู่ให้แล้วเสร็จภายในสิ้นเดือน ส.ค.นี้ เมื่อรวมกับเงินงบประมาณที่ได้โอนให้กับหมู่บ้านไปแล้วจำนวน 15,270 แห่ง วงเงินประมาณ 4,448.05 ล้านบาท และหมู่บ้านและชุมชนเมืองที่ได้รับงบประมาณจากโครงการอยู่ดีมีสุขไปแล้วก่อนหน้านี้ก็เท่ากับว่ารัฐบาลสามารถจัดสรรเงินเอสเอ็มแอลให้กับหมู่บ้านและชุมชนเมืองที่ได้รับการจัดสรรกว่า 90% ของหมู่บ้านทั่วประเทศกว่า 78,000 แห่ง
อย่างไรก็ตาม เป้าหมายของรัฐบาลต้องการโอนเงินให้กับหมู่บ้านและชุมชนเมืองประมาณ 40,000 แห่งทั่วประเทศในปีงบประมาณ 51 ที่ได้รับเป็นเงินประมาณ 10,000 ล้านบาท ส่วนในปีงบประมาณ 52 ได้ตั้งงบประมาณไว้อีกจำนวน 15,000 ล้านบาท เพื่อจัดสรรให้กับหมู่บ้านตามขนาดเอสเอ็มแอล โดยยืนยันว่าในปี 52 ยังคงใช้วงเงินที่จัดสรรให้กับหมู่บ้านแต่ละขนาดตามเดิม คือ ขนาดเอส 1 จำนวน 1-50 คน ได้รับงบประมาณ 50,000 บาท ,ขนาดเอส 2 จำนวน 51-150 คน ได้รับ 1 แสนบาท ขนาดเอส 3 จำนวน 151-250 คน ได้รับ 1.5 แสนบาท ขนาดเอส 251-500 คน ได้รับ 2 แสนบาท ขนาดเอ็ม 501-1,000 คน ได้รับ 2.5 แสนบาท ขนาดแอล 1,000-1,500 คน ได้รับ 3 แสนบาท ขนาดเอ็กซ์แอล จำนวน 1,501 คน ขึ้นไป ได้รับ 3.5 แสนคน
นายอาคม เติมวิทยาไพศิษฐ์ รองเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เปิดเผยว่า บอร์ด สศช. เห็นชอบกรอบวงเงินงบลงทุนของรัฐวิสาหกิจประจำปีงบประมาณ 2552 เป็นงบลงทุนจากรัฐวิสาหกิจ จำนวน 53 แห่งสังกัด 17 กระทรวง เป็นวงเงินดำเนินการ จำนวน 473,030 ล้านบาท คิดเป็น 5% ของ GDP โดยเป็นงบเบิกจ่ายให้กับโครงการที่มีความพร้อม 231,882 แสนล้านบาท กรอบวงเงินดำเนินการปี 2552 จะแบ่งเป็น 1.งบโครงการและงบลงทุนปกติ จำนวน 410,477 ล้านบาท 2. งบโครงการใหม่ จำนวน 57,528 ล้านบาท และ 3.งบสำรองเพื่อเพิ่มเติมระหว่างปี 2552 จำนวน 5,025 ล้านบาท โดยงบสำรองถือเป็นอาจจะมีการขออนุมัติลงทุนเพิ่มเติมจากรัฐวิสาหกิจ หมายความว่า รัฐวิสาหกิจจะมีความต้องการลงทุนระหว่างปีหรือไม่ จึงต้องมีการสำรองงบประมาณไว้ทุกปี เพราะบางโครงการอาจจะยังไม่ได้รับอนุมัติ และยังไม่มีรายละเอียดก็จะมีวงเงินไว้ใช้
อย่างไรก็ตาม กรอบวงเงินเบิกจ่ายในปี 2552 ลดลงจากปี 2551 ร้อยละ20 (57,874 ล้านบาท) จากปี 2551 (วงเงิน 289,759 ล้านบาท) ขณะเดียวกันการลดวงเงินเบิกจ่ายลงเนื่องจากบางโครงการยังไม่มีรายละเอียด ยังไม่ได้เสนอมาให้บอร์ดสภาพัฒน์ฯ พิจารณา เช่น โครงการ 3 จีของทีโอทีงบประมาณจำนวน 2.9 หมื่นล้านบาท โครงการซื้อเครื่องบินของการบินไทย (ไทยอินเตอร์) ฝูงใหม่ 3.8 หมื่นล้านบาท โครงการรถไฟความเร็วสูงของ รฟท. เป็นต้น
นายอาคมกล่าวว่า บอร์ดสภาพัฒน์ฯ ได้ตั้งข้อสังเกตว่า ในแง่ทิศทางในการลงทุนอาจจะเรียกว่าไม่มีการชี้นำในเรื่องของสิ่งที่ควรจะลงทุน และเปิดโอกาสให้รัฐวิสาหกิจคิดมา โดยได้มีการปรับลดงบลงทุนจากจำนวนที่เสนอมา 483,876 ล้านบาท นอกจากนี้ยังมองว่า งบลงทุนรัฐวิสาหกิจในปี 2552 ที่จะต้องเป็นภาคกระตุ้นเศรษฐกิจ กลับมีการเสนอเข้ามาน้อยกว่าปี 2551 ซึ่งรัฐวิสาหกิจและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงฯ นั้น จะต้องไปพิจารณาว่าสิ่งใดคือยุทธศาสตร์ในการลงทุนที่จะต้องไปเพิ่มความสามารถในการลงทุนในขอบข่ายของโครงสร้าง และการบริการขั้นพื้นฐาน หรือโครงการสาธารณูปโภคต่าง ๆ
ทั้งนี้ บอร์ดสภาพัฒน์ ยังเป็นห่วง การพัฒนาและปรับโครงสร้างรัฐวิสาหกิจที่ขาดทุน โดยเฉพาะหนี้ที่จะต้องดำเนินตามโครงสร้างการสะสางหนี้ เช่น การปรับโครงสร้าง ขสมก. แผนการฟื้นฟู รฟท. และการเคหะแห่งชาติรวมไปถึงรัฐวิสาหกิจที่ขาดทุนแต่ขนาดไม่ใหญ่ ขณะเดียวกันยังเป็นห่วงการดำเนินการของ การบินไทย ในภาวะน้ำมันเชื้อเพลิงราคาสูงทำให้ไทยอินเตอร์ขาดทุนใน 1-2 เดือนแม้จะมีกำไรก็ควรที่จะปรับปรุงองค์กรเพื่อตอบสนองปัจจัยเสี่ยง
ขณะที่แผนการปรับปรุงศักยภาพองค์กร มีการตั้งคำถามในเรื่องของงบประมาณที่มีการใช้ค่อนข้างน้อยเพียงร้อยละ 0.5 ของงบลงทุน ขณะเดียวกันยังแสดงความเป็นห่วงในเรื่องของการความรับผิดชอบต่อสังคม ของรัฐวิสาหกิขนาดใหญ่
รายงานข่าวแจ้งว่า ขณะที่งบลงทุนของรัฐวิสาหกิจประจำปีงบประมาณ 2551 ที่รัฐบาล พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ เห็นชอบกรอบวงเงินงบลงทุนดำเนินการฯ จำนวน 508,133 ล้านบาท ขณะที่งบเบิกจ่ายวงเงิน 289,759 ล้านบาท คิดเป็น 3.2% ของ GDP โดยเป็นการลงทุนที่มีความพร้อม 2.16 แสนล้านบาท และการลงทุนที่ต้องรอขออนุมัติตามขั้นตอน 7.3 หมื่นล้านบาท ประกอบด้วย โครงการลงทุนใหม่ 3.2 หมื่นล้านบาท ขณะที่คาดว่าในปีงบประมาณ 2551 รัฐวิสาหกิจจะมีกำไรสุทธิ 8.47 หมื่นล้านบาท ขณะที่ปีงบประมาณ 2552 – 2554 คาดว่าจะมีกำไรสุทธิเฉลี่ยปีละ 9.85 หมื่นล้านบาท โดยมีการเบิกจ่ายลงทุนรวม 7.39 แสนล้านบาท หรือเฉลี่ยปีละ 2.48 แสนล้านบาท
.ค.51
**เลี้ยบฉีดรากหญ้าผ่านSML 4.8 พันล้าน
นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี รองนายกฯ และ รมว.คลัง เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการพัฒนาศักยภาพของหมู่บ้านและชุมชน (เอสเอ็มแอล) ตามแนวปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ได้เห็นชอบการโอนเงินงบประมาณ 4,800 ล้านบาท ให้กับหมู่บ้านและชุมชนเมืองอีกกว่า 21,000 แห่งทั่วประเทศที่ยังค้างอยู่ให้แล้วเสร็จภายในสิ้นเดือน ส.ค.นี้ เมื่อรวมกับเงินงบประมาณที่ได้โอนให้กับหมู่บ้านไปแล้วจำนวน 15,270 แห่ง วงเงินประมาณ 4,448.05 ล้านบาท และหมู่บ้านและชุมชนเมืองที่ได้รับงบประมาณจากโครงการอยู่ดีมีสุขไปแล้วก่อนหน้านี้ก็เท่ากับว่ารัฐบาลสามารถจัดสรรเงินเอสเอ็มแอลให้กับหมู่บ้านและชุมชนเมืองที่ได้รับการจัดสรรกว่า 90% ของหมู่บ้านทั่วประเทศกว่า 78,000 แห่ง
อย่างไรก็ตาม เป้าหมายของรัฐบาลต้องการโอนเงินให้กับหมู่บ้านและชุมชนเมืองประมาณ 40,000 แห่งทั่วประเทศในปีงบประมาณ 51 ที่ได้รับเป็นเงินประมาณ 10,000 ล้านบาท ส่วนในปีงบประมาณ 52 ได้ตั้งงบประมาณไว้อีกจำนวน 15,000 ล้านบาท เพื่อจัดสรรให้กับหมู่บ้านตามขนาดเอสเอ็มแอล โดยยืนยันว่าในปี 52 ยังคงใช้วงเงินที่จัดสรรให้กับหมู่บ้านแต่ละขนาดตามเดิม คือ ขนาดเอส 1 จำนวน 1-50 คน ได้รับงบประมาณ 50,000 บาท ,ขนาดเอส 2 จำนวน 51-150 คน ได้รับ 1 แสนบาท ขนาดเอส 3 จำนวน 151-250 คน ได้รับ 1.5 แสนบาท ขนาดเอส 251-500 คน ได้รับ 2 แสนบาท ขนาดเอ็ม 501-1,000 คน ได้รับ 2.5 แสนบาท ขนาดแอล 1,000-1,500 คน ได้รับ 3 แสนบาท ขนาดเอ็กซ์แอล จำนวน 1,501 คน ขึ้นไป ได้รับ 3.5 แสนคน
