คอลัมน์ " ร่วมคิด ชวนคุย "
โดย ..มนตรี ศรไพศาล (ฝ่ายวิชาการ ชมรมนักธุรกิจเพื่อประชาธิปไตย)
วันนี้ ผมขอถอดหมวกนักธุรกิจ แต่สวมหมวกฝ่ายวิชาการ ชมรมนักธุรกิจเพื่อประชาธิปไตย อดีตนักกิจกรรม นายกสโมสรนิสิต จุฬาฯ ปี 2527 ด้วยความรักและห่วงใยในบ้านเมืองจริงๆ ครับสถานการณ์การเมืองไทยในปัจจุบัน มีความน่าเป็นห่วง การเลือกตั้งก็เกิดขึ้นแล้วอย่างสงบ ผู้ชนะเลือกตั้งก็ได้ครองที่นั่งในสภา และเป็นผู้นำรัฐบาลแล้วอย่างสงบ ฝ่ายที่ไม่ชอบรัฐบาล ตลอดจนบรรดาพันธมิตร ก็น้อมรับเสียงของประชาชนไปแล้วเพราะ คนไทยทุกคน ก็ยังรักระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
บ้านเมืองต้องเดินด้วยกติกา และต้องเป็นกติกาที่ชอบธรรม สิ่งที่บ้านเมืองจะเดินได้ยาก คือ ผู้มีอำนาจ แสวงหาอำนาจเพื่อเข้ามา "โกง" บ้านเมือง "โกง" เงินภาษีที่เป็นของประชาชน การ "โกง" ของนักการเมืองยุคใหม่ ก็ดูจะแยบยลมากขึ้น คือ ประกอบกับการพยายาม "โฆษณา" ผลงานการใช้เงินของประชาชน เพื่อประชาชน เป็น "บุญคุณ"ราวกับว่า เป็นการแจก "เงินของนักการเมือง" เอง ซึ่งจะถือเป็น บุญ"คุณ" ก็ไม่ถูก เพราะไม่ใช่เอาเงินนักการเมืองมาแจก รัฐบาลไหนมา ก็มีหน้าที่ต้องจัดสรรเพื่อกลับมาเป็นประโยชน์ต่อประชาชนอยู่แล้ว บางนโยบายอาจหวังผลทันที แม้จะก่อหนี้ ซ่อนหนี้สร้างภาระให้ลูกหลานในอนาคต บางนโยบาย อาจเพื่อสร้างรากฐานเพื่อประโยชน์ในระยะยาว แต่ไม่ว่าทางใด ก็มิได้เป็นบุญคุณจากนักการเมือง แต่ผู้ทำหน้าที่ได้ดี ด้วยความสามารถ และสัตย์ซื่อ ก็ควรแก่การยกย่องศรัทธาในความเสียสละ
**สิ่งที่น่ากังวลใจในขณะนี้ คือ เมื่อมีกติกาของบ้านเมืองแล้ว เป็นกติกาที่มีหลักการที่ชอบธรรม แต่นักการเมืองกลับหาทางแก้ไขรัฐธรรมนูญ นักการเมืองควรคิดว่าประชาชนมีสติปัญญา มีความเข้าใจ คำชี้แจงในขณะนี้ ไม่พูดถึงสาระความถูกต้องว่า ที่จะแก้ คือยกเลิกการเอาผิดในการโกงเลือกตั้งหรือไม่ หรือ การเอาผิดผู้ที่ "โกง" ประเทศชาติหรือไม่ แต่กลับใช้คำลวงว่า "พวกเขามาเขาแก้รัฐธรรมนูญ ไม่มีใครไปว่า ทีเรามาจะแก้บ้าง ก็มาต่อต้าน"**
ผมเชื่อว่า ถ้ารัฐบาลที่ผ่านมา แก้เพื่อ "ประโยชน์ส่วนตัว" รัฐธรรมนูญฉบับปี 50 ก็คงไม่ได้ผ่านออกมาหรอกครับ ในคราวนี้ก็เช่นกัน **หากเป็นการแก้ไขเพื่อส่วนรวม ไม่ใช่เพื่อส่วนตัว ไม่ใช่เป็นการทำเรื่องผิดให้เป็นเรื่องถูก บ้านเมืองก็ไม่ถึงจุดวิกฤต** ผมไม่อยากเชื่อว่า นักการเมือง จะกดขี่ข่มเหงประชาชนขนาดนี้ นึกอยากจะโกง ก็โกงโดยไม่กลัวการตรวจสอบ กลัวกระบวนการยุติธรรม เมื่อความผิดจวนตัวใกล้ปรากฏ ก็มาแก้รัฐธรรมนูญเพื่อปกป้องตนเอง พฤติกรรมที่น่ากลัวในขณะนี้ คือการชวนเชื่อแนวทางซาตานเช่น "ทุกคนย่อมโกงเหมือนกันหมด" (คือไม่ปฏิเสธแล้วว่าตนโกง แล้วถ้าทุกคนไม่ถือแล้วการการ "โกง" คือสิ่งเลวร้ายควรหลีกเลี่ยง แล้วบ้านเมืองจะเป็นอย่างไร) "เราดีกว่าใคร เพราะเราโกงแล้วแบ่ง" (คือหาพวกด้วยการทำให้เชื่อว่าแบ่งส่วนโกง) "บ้านเมือง ก็ขึ้นอยู่กับ พวกเขา หรือ พวกเรา " (ยุยงปลุกปั่น ให้แตกความรักความสามัคคี ละเลยคุณธรรมความชอบธรรม)ผมดูแล้ว เป็น** เทคนิคตามทาง "มาร" ซึ่งตรงข้ามทางสว่าง มารไม่มีอำนาจดังพระเจ้า แต่สิ่งที่มารทำ คือทำให้มนุษย์ "แตกแยก" จากทางชอบธรรม แตกแยกจากพระเจ้า ยุให้เห็นแก่ตัว และยุให้ไม่พอเพียงในปฐมกาล** พระเจ้าทรงปลูกสวนแห่งหนึ่งไว้ที่เอเดน ทางทิศตะวันออก และให้มนุษย์ที่พระองค์ทรงปั้นมานั้นอยู่ที่นั่น แล้วพระเจ้าทรงให้ต้นไม้ทุกชนิดที่งามน่าดูและที่น่ากิน เป็นอาหารงอกขึ้นจากดิน มีต้นไม้แห่งชีวิตต้นหนึ่งอยู่ท่ามกลางสวนนั้น กับต้นไม้แห่งความสำนึกในความดีและความชั่วต้นหนึ่งด้วย พระเจ้าจึงทรงให้มนุษย์นั้นอยู่ในสวนเอเดน ให้ทำและรักษาสวน
พระเจ้าจึงทรงบัญชาแก่มนุษย์นั้นว่า "บรรดาผลไม้ทุกอย่างในสวนนี้ เจ้ากินได้ทั้งหมด เว้นแต่ต้นไม้แห่งความสำนึกในความดีและความชั่ว ผลของต้นไม้นั้นอย่ากิน เพราะในวันใดที่เจ้าขืนกิน เจ้าจะต้องตายแน่"
ในบรรดาสัตว์ป่าที่พระเจ้าทรงสร้างนั้น งู (ซาตาน) ฉลาดกว่าหมด มันถามหญิงนั้นว่า "จริงหรือที่พระเจ้าตรัสห้ามว่า 'อย่ากินผลจากต้นไม้ใดๆ ในสวนนี้'
หญิงนั้นจึงตอบงูว่า "ผลของต้นไม้ต่างๆ ในสวนนี้เรากินได้ เว้นแต่ผลของต้นไม้ที่อยู่กลางสวนนั้น พระเจ้าตรัสห้ามว่า 'อย่ากินหรือถูกต้องเลย มิฉะนั้นจะตาย' งูจึงพูดกับหญิงนั้นว่า "เจ้าจะไม่ตายจริงดอก เพราะพระเจ้าทรงทราบอยู่ว่า เจ้ากินผลไม้นั้นวันใด ตาของเจ้าจะสว่างขึ้นในวันนั้น แล้วเจ้าจะเป็นเหมือนพระเจ้า คือสำนึกในความดีและความชั่ว" เมื่อหญิงนั้นเห็นว่า ต้นไม้นั้นน่ากิน และน่าดูด้วย ทั้งเป็นต้นไม้ที่มุ่งหมายจะให้เกิดปัญญา จึงเก็บผลไม้นั้นมากิน แล้วส่งให้สามีกินด้วย เขาก็กิน
จะเห็นว่า "มาร" ไม่มีอำนาจดังพระเจ้า แต่สิ่งที่**มารทำ คือทำให้มนุษย์ "แตกแยก" จากทางชอบธรรม แตกแยกจากพระเจ้า ทำให้คนสงสัยพระเจ้า และความรักของพระองค์ ยุให้เห็นแก่ตัว และยุให้ไม่พอเพียง อยากได้ในสิ่งที่ไม่ใช่ของตน** การที่พระเจ้ามอบสรรพสิ่ง ทั้งสวน พืชผล สัตว์ต่างๆ ก็มากมายอยู่แล้ว แต่บางส่วนที่ไม่ใช่ของเรา ก็สะท้อนว่า เรามี "เสรีภาพ" ที่จะเลือกความ "พอเพียง" ในสรรพสิ่งที่มีมากมายด้วยความสุขแท้ในใจ หรือยังโลภอยากได้สิ่งที่ไม่ใช่ และธรรมะสูงข้อแรก จึงคือ "ความพอเพียง" ไม่เอา ของๆคนอื่นๆ ของๆบ้านเมือง มาเป็นของตน
หากผู้ประท้วง กระทำเพื่ออำนาจและประโยชน์ของตน ก็ควรประณาม แต่หากทำเพื่อปกป้องความถูกต้องชอบธรรม ก็น่าจะเอาสาระ หลักฐาน และ เหตุผล มาต่อสู้กัน ผู้ถูกกล่าวน่าจะชี้แจงประเด็นที่กล่าวหาคาใจ ซึ่งหากเป็นประเด็นไร้สาระ ก็ไม่เป็นไร **แต่หลายประเด็นเป็นเรื่องโกงเป็นหมื่นเป็นแสนล้านบาท !! ซึ่งไม่ควรปล่อยผ่านๆไป** หากรัฐบาลต้องแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพื่อชาวบ้านจริงๆ ก็ไม่เป็นไร **มาตราที่ป้องกันและเอาโทษการโกง จะตัดทิ้งหรือไม่ ? สิ่งต่างๆที่ถูกกล่าวหา รัฐบาลน่าจะออกมาชี้แจงให้เห็นว่าตนไม่ผิด ชาวบ้านจะได้ศรัทธาเต็มหัวใจขอให้คนไทย รู้รักสามัคคี เชื่อทางสว่าง ส่งเสริมความดี ไม่ยอมรับความแตกแยก ยืนหยัดในความยุติธรรม กับทุกฝ่าย** ด้วยใจเป็นธรรม และด้วยใจรักเมตตา บ้านเมืองก็จะไม่เข้าสู่วิกฤต เศรษฐกิจจึงจะดีต่อไปได้ในระยะยาวครับ
มนตรี ศรไพศาล
(montree4life@yahoo.com)