ช่วงนี้ผมขอถอดหมวกนักธุรกิจ แต่สวมหมวกฝ่ายวิชาการ ชมรมนักธุรกิจเพื่อประชาธิปไตย อดีตนักกิจกรรม นายกสโมสรนิสิต จุฬาฯ ปี 2527 ด้วยความรักและห่วงใยในบ้านเมืองจริงๆ ครับ ผมได้มีโอกาสไปชมภาพยนตร์ เรื่อง แบทแมน ดาร์คไนธ์ ได้เห็นแง่คิด บทเรียนดี ๆ ทำให้ผมเกิดแรงบันดาลใจที่จะเทียบกับการเมืองไทยในหลายปีที่ผ่านมา โดย ผมเชื่อว่า โดยทั่วไป ระบอบการเมืองที่เป็นที่ยอมรับอย่างกว้าง คือระบอบประชาธิปไตย ผมเรียนรู้หลักการสำคัญหลายเรื่อง ได้แก่
1.ผู้บริหารได้รับคะแนนนิยมสูงจากการ "เลือกตั้ง" : จะได้เป็นผู้นำ** "คนทั้งประเทศ" ผู้นำไม่ใช่แบ่งประเทศเป็น "พวกเรา" กับ "พวกเขา" มันจะสร้างปัญหาให้เกิดขึ้นไม่สิ้นสุด** ในบรรดาอารยประเทศ ผู้นำดี ๆ ไม่มีใครทำให้ประชาชนคิด เชื่อ หรือ รู้สึกว่า ประชาชนแบ่งเป็น 2 ขั้ว ในสหรัฐอเมริกา หากผู้นำจะแบ่งประชาชนเป็น ขั้วเดโมแครต กับขั้วรีพลับบลิกัน บ้านเมืองคงวุ่นวาย อ่อนแอ ผู้หาเสียงคนใดพูดเรื่องเช่นนี้ คงไม่ได้รับเลือกตั้งในภาพยนตร์เรื่องแบทแมน โจ๊กเกอร์สวมวิญญาณมารซาตาน เขายุยงให้คนเห็นแก่ตัว แบ่งพวกเขาพวกเรา ปลุกปั่นให้คนเกลียดกัน เชื่อใน "ความเห็นแก่ตัวของมนุษย์" เขาวางแผนให้คนไปขึ้นเรือ ลำหนึ่งเป็นกลุ่มนักโทษ ลำหนึ่งเป็นประชาชนทั่วไป แต่ละฝ่ายสามารถกดระเบิดของลำตรงข้าม
หากทุกคน "เห็นแก่ตัว" "แบ่งพรรคแบ่งพวก" แต่ละฝ่ายก็คงโกรธกัน เกลียดกัน กลัวกัน และกดระเบิดทำลายกัน โลกเช่นนั้น ก็ช่างเป็นโลกที่ไม่น่าอยู่เสียจริงๆ หวังว่า จะไม่มีใครพยายามแบ่งแยก "พวกเขา พวกเรา" "พวก ไม่เอา ท. พวก ท." "พวกเหลือง พวกแดง" ไม่ว่าใครจะเห็นว่า ชอบ หรือ ไม่ชอบ บุคคลบางคน เพียงถูกแบ่งให้แตกแยกเช่นนั้น คนไทยก็แพ้ต่อมารซาตาน (ซึ่งโจ๊กเกอร์เลียนแบบ หวังว่าผู้นำไทยไม่เลียนแบบมารซาตานด้วย) แล้วครับ เพราะไม่ว่าแต่ละคนจะเห็น อย่างไร** เราคือคนไทยเหมือนกัน มีพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระผู้ทรงเป็นที่รักยิ่งของปวงชนชาวไทยพระองค์เดียวกัน ทุกอย่างจึงควรว่ากันตามหลักฐานและเหตุผลเท่านั้น** ไม่ใช่ว่ากันตาม "พวกใคร พวกใคร"สิ่งสำคัญจึงคือ ชาวไทยพึงรักสามัคคีกัน เรื่องต่างๆทำให้รู้เห็นกันกระจ่างอย่างเท่าเทียมกัน เราไม่เกลีดคนบาป แต่รังเกียจความบาปเท่านั้น เราจะชนะมารด้วยกันทั้งประเทศ คือชนะความโกรธ ชนะความบาป ชนะความโกง ร่วมกัน
2.นอกจากการเลือกตั้งแล้ว บ้านเมืองยังต้องมี "นิติธรรม" : โดยเฉพาะผู้มีอำนาจ หากทำผิด เบียดเบียนประชาชน ฉ้อราษฎร์บังหลวง ชาติจะเสียหายได้มาก ประชาชนจะเดือดร้อนได้มาก ขณะที่ผู้ได้รับเสียงมาก ย่อมเป็นผู้ได้รับอำนาจบริหารบ้านเมือง **แต่หากผู้บริหารทำผิดกฎหมาย หรือผิดรัฐธรรมนูญ โกงชาติ โกงแผ่นดิน ก็ควรอย่างยิ่งให้กระบวนการยุติธรรมเดินหน้า** ควรอย่างยิ่งที่ทุกฝ่ายที่ทำหน้าที่นี้ ทำงานอย่างตรงไปตรงมา **หากเจ้าหน้าที่ท่านใดจะปกปิด เตะถ่วง ก็น่าคิดว่า เป็นการสมรู้ร่วมคิดกับการทุจริตหรือไม่กฎหมาย และรัฐธรรมนูญ มีเอาไว้กันคนไม่ดีไม่ให้เข้ามามีอำนาจ การที่กฎหมายดี ๆ รัฐธรรมนูญที่ดีรอบคอบจะเอาผิดนักการเมืองที่ทำผิด จนพ้นอำนาจ หรือไม่สามารถเข้าสู่อำนาจ** ก็ตรงตามวัตถุประสงค์ที่มีกฎหมายและรัฐธรรมนูญนั้นๆ ตอนหาเสียง ตอนซุกหุ้น ตอนเอื้อประโยชน์ ก็รู้อยู่แล้วว่ารัฐธรรมนูญห้ามไว้อย่างไร
สิ่งที่ทำนั้นเบียดบังประโยชน์ของรัฐ หรือของประชาชนเป็นของส่วนตัวอย่างไร ก็ยังได้ทำไป แล้วจะมี**การแก้ไขรัฐธรรมนูญ ให้ผู้กระทำผิดไม่ต้องผิด ก็คงทำให้ประเทศไทยตกต่ำในสายตาชาวโลก ไม่มีใครเชื่อถือประเทศที่ผู้มีอำนาจทำผิด** แต่แล้วไปแก้กติกาให้ตนถูกโดยเฉพาะผู้นำที่เป็นบุคคลสาธารณะ มีคนศรัทธา และมีคนไม่ศรัทธามาก และสถานการณ์ที่ถูกพวกมารซาตานทำสิ่งที่ถนัดคือ ทำให้คนไม่รักกัน การที่ทุกฝ่ายจะเห็นเรื่องราวเหล่านี้ให้กระจ่างจะเป็นผลดีอย่างยิ่งต่อประชาชนและประเทศชาติโดยรวม เมื่อหลักฐานชัดว่า ผู้ถูกกล่าวหา "ทำถูก" คนที่ไม่เชื่อใจ ก็จะกลับมามีศรัทธาและความนิยมกันมากขึ้น หากผู้ถูกกล่าวหา "ทำผิด" บ้านเมืองก็จะมีระดับมาตรฐานคุณธรรม จริยธรรมมากขึ้นแบทแมนพูดประโยคที่น่าคิดว่า** "ผู้ที่ทำให้กระบวนการยุติธรรมดำเนินการไปได้อย่างตรงไปตรงมา จึงเป็น "ฮีโร่" ตัวจริง เพราะความซื่อสัตย์ยุติธรรมทำให้โลกนี้น่าอยู่" **และผมก็เชื่อเช่นนั้นจริงๆ ฝ่ายวิชาการ ชมรมนักธุรกิจเพื่อประชาธิปไตยได้ ติดตามคดีปกปิดโครงสร้างผู้ถือหุ้นมากว่า 2-3 ปี หลักฐานในเมืองไทยก็น่าจะพอเพียง
(1) อดีตผู้นำเคยมีพฤติกรรมปกปิด เช่น ข่าวช่วงสิงหาคมปี 2543 ลงว่า วินมาร์ค ซื้อหุ้นไป 6 บริษัท จากอดีตผู้นำ ลงข่าวว่าประมาณ 900 ล้านบาท ท่านก็ให้ข่าวว่าประมาณ 600-800 ล้านบาท อ้างว่าจำไม่ได้ แต่จริงๆแล้วเป็นมูลค่า 1,500 ล้านบาท (2) ทั้ง 6 บริษัท ทำธุรกิจต่างกัน มูลค่าทางบัญชีต่างกัน กำไรต่อหุ้นต่างกัน ผู้สอบบัญชีไม่ใช่ระดับรับอนุญาต แต่กองทุนต่างชาติมาซื้อเหมาโหลที่ราคาพาร์จากผู้เรืองอำนาจในไทยได้ ! (3) ท่านยังบอกว่า ที่นักลงทุนต่างชาติมาลงทุนที่ราคาพาร์ในสภาวะไม่ดี ก็เพราะรอจะเข้าตลาดฯในอนาคต แต่มีเพียง 1 บริษัทที่ได้เข้าตลาดฯ วินมาร์คกลับขายไปเพียง 3 สัปดาห์ก่อนยื่นไฟลิ่ง โดยผู้ซื้อรายแรก คือ VIF ในวันที่ 11 สิงหาคม 2546 และวันที่ 1 กันยายน 2546 VIF ได้โอนหุ้นเอสซีฯทั้งหมดให้กับ OGF และ ODF ต่อมาจึงยื่นไฟลิ่งต่อสำนักงาน กลต. ในช่วงนั้น และ เริ่ม "นับหนึ่ง"ไฟลิ่งตั้งแต่ วันที่ 5 กันยายน 2546 และวินมาร์ค ก็ยังถือหุ้นที่เหลือมาอีกกว่าปี และขายคืนให้ลูกสาวที่ราคาพาร์เช่นเดิมในวันที่ 27 ตุลาคม 2547 (4) มีการโอน 2 ครั้งใน 3 สัปดาห์**เขาเป็นใคร ทำไม VIF ถือ 3 สัปดาห์ก็ขายแล้ว ดูข้อมูล 6 บริษัทช่วงใด ทำไมรีบขาย อีก 2 กองทุนเป็นใคร ทำไมกล้าซื้อจากกองทุนที่ถือเพียง 3 สัปดาห์ แล้วทำไมทั้ง 3 กองทุนมีที่อยู่เดียวกัน หากเป็นของคนเดียวกัน แต่ไม่เกี่ยวกับอดีตผู้นำ มีเหตุอะไรต้องปกปิ**
**หลักฐานเหล่านี้ เป็นหลักฐานในประเทศทั้งสิ้น กองทุนนั้นมีใครเป็น Beneficiary Owner กันแน่ หากไม่ตอบหรือไม่ทราบ ก็ไม่น่าเชื่อเลยเพราะกรณีเอสซีออฟฟิซปาร์ค วินมาร์คถือถึง 40% มีอำนาจควบคุมด้วย และจะไม่ตรวจให้รู้ก่อนหรือว่าไม่ใช่พวกค้ายาเสพติด พวกฟอกเงินทุจริต พวกค้าอาวุธมาถือหุ้น อดีตผู้นำก็เคยขายหุ้นให้ตัวจริง **เช่น ขายให้เทมาเส็ก ก็ต้องรู้ว่าเป็นกองทุนระดับของรัฐบาล ไม่ขายที่ราคาพาร์ เพราะต้องต่อรองกันถึงหลักเศษสตางค์ไม่ใช่ราคาพาร์เหมาเข่งเช่นนี้ หลักฐานอื่นๆที่อาจต้องเสริมมาจากต่างประเทศก็เพียงเสริมประกอบเท่านั้นก็น่าจะพอ
ผู้ถูกกล่าวหาควรหาหลักฐานมาประกอบบ้าง เพียงแสดงตัวตนถึง Beneficiary Owner ที่เป็นที่เชื่อถือ เอกสารสัญญาซื้อขายหุ้น เงื่อนไขการรับรองความถูกต้องของข้อมูลที่ให้ก็จะช่วย เพราะถ้าไม่มีเลยก็คงเป็นคนกันเองมากกว่า เนื่องจากหากมีข้อโต้แย้งจากกองทุนเหล่านั้น จะมีอายุความ 10 ปี เว้นแต่พวกเดียวกันก็ไม่สนใจ อีกหลักฐานง่าย ๆ ก็คือ กองทุนวินมาร์ค และอีก 3 กองทุนเคยถือหุ้นอื่นนอกจากหุ้นเหล่านี้ของครอบครัวหรือไม่ ? ก็แสดงหลักฐานได้ง่าย ฝ่ายวิชาการฯเคยตรวจเช็คดูก็พบว่า ไม่มีเลย ทำให้เชื่อได้ว่าไม่ใช่ผู้ลงทุนอิสระจริงมากกว่า
ผมยังภาวนาขอให้คนไทย รู้รักสามัคคี ไม่ยอมรับความแตกแยก เชื่อทางสว่าง ส่งเสริมความดี ให้กำลังใจรัฐบาลในการบริหารบ้านเมืองอย่างสุจริต ไม่สร้างภาระต้นทุนบ้านเมืองด้วยการทำให้ประชาชนแตกแยก เพียงเพื่อปกป้องตนเอง ไม่ทำให้ชาวโลกเห็นว่า บ้านเมืองไทยปกครองกันอย่างอันธพาลไร้หลักนิติธรรม บ้านเมืองก็จะไม่เข้าสู่วิกฤต เศรษฐกิจจึงจะดีต่อไปได้ในระยะยาวครับ
มนตรี ศรไพศาล
ฝ่ายวิชาการ ชมรมนักธุรกิจเพื่อประชาธิปไตย
(montree4life@yahoo.com)