เมื่อก่อน 2 พันปีที่แล้ว ในยามที่โลกมืดมน ผู้คนจมอยู่ในความบาป ความเห็นแก่ตัว ผู้คนไม่รู้จักคุณค่าของ "ความรัก" ให้อภัยกันไม่ค่อยได้ คนทำผิดต้องถูกหินขว้างจนตายไป แม้คนขว้างเองก็รู้ตัวว่าตนเองก็ไม่ใช่คนบริสุทธิ์ ผู้ทำดีที่บริสุทธิ์ยังถูกอิจฉา ใส่ร้ายป้ายสี ในยุคนั้น มีคำสอนในการอธิษฐานว่า "แผ่นดินสวรรค์ เป็นเช่นไร ให้เป็นเช่นนั้นในแผ่นดินโลก" แม้โลกยังห่างจากความเป็นสวรรค์ แต่สิ่งที่เรายังทำได้ คือรักษา "ความเชื่อ" และ "ความหวัง" คำอธิษฐานไม่ใช่เปลี่ยนโลกให้เป็นสวรรค์เลย หรือนำให้เราไปสวรรค์เลย แต่เราพอนึกภาพได้ว่าในสวรรค์จะเป็นเช่นไร ก็ขอให้เป็นเช่นนั้นในแผ่นดินโลก และเชื่อว่าเป็นเช่นนั้น เราทุกคนก็จะมีความหวัง
หากเราเชื่อว่า แผ่นดินสวรรค์ จะมีแต่คนดี คงน่าจะหานิยาม "คนดี" กันให้ชัดเจน มีหลักธรรมอยู่ว่า "พระธรรมข้อใหญ่มี 2 ข้อ (1) รักโลกของเรา เชี่อว่า โลกนี้ถูกสร้างมาอย่างดี รักชีวิตของเรา เชื่อว่า ชีวิตเราถูกสร้างมาอย่างเจาะจงให้เป็นเรา อย่างดี (2) รักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง ปฏิบัติต่อผู้อื่น อย่างที่เราต้องการให้ผู้อื่นปฏบิติต่อเรา" ในสวรรค์ คนย่อมรักกันและกัน ดังกับที่รักตนเอง เมื่อเป็นเช่นนั้น ก็จะไม่มีใครเอาเปรียบกัน ทุกคนสัตย์ซื่อและจริงใจต่อกัน
เมื่อมนุษย์เชื่อซาตาน จำนนกับอำนาจมืด ได้เห็นแก่ตัว บางครั้งถึงขั้นทำร้ายกัน ฆ่าฟันกัน ด้วยความเห็นแก่ตัวเอง ไม่คำนึงถึงกันและกัน แต่คนจำนวนมาก ก็ยังไม่จำนนกับความบาปขนาดนั้น แต่ต้องอยู่ในความหวาดกลัว สับสน เป็นทุกข์ **พระเจ้ากลับทรงมาประสูติในรางหญ้า ทรงสอนให้คนรักกันอย่างไม่มีเงื่อนไข และทรงรักเราถึงขั้นทรงสละชีวิตเพื่อไถ่บาปมวลมนุษยชาติ ผู้ที่เชื่อก็จะได้รับการไถ่นั้นกันทุกคน**
มีหลักคำสอนที่ถ่ายทอดเป็นหลักการว่า "เมินอดีต มองอนาคต มุ่งปัจจุบัน" จึงสะท้อนความจริงนี้ เรารักบุตรอย่างไร พระเจ้ายิ่งรักเรากว่านั้น ทรงพร้อมที่จะเมินอดีตที่มนุษย์ทอดทิ้งพระองค์ ไปเดินตามซาตาน ทรงมองอนาคตด้วยความเชื่อว่า** มนุษย์ทุกคนยังมีโอกาสกลับใจได้เสมอ ตราบที่เรามองกันดี ๆ วางใจกัน มีความหวังอยู่เสมอ ความรัก ความสมานฉันท์ และจิตสำนึกในทางสว่างก็อาจกลับมาในเราทุกๆคน เพื่อนำพาประเทศเราให้ไปสู่ความสว่างได้**
เราไม่อยากเห็นการหลงไปทางที่ผิด และคนไทยใช้วิธีที่ผิดเข้าหากัน เรามีการเลือกตั้งแล้ว เราก็คงเห็นการตั้งรัฐบาลที่เป็นไปตามเสียงเลือกของประชาชน กลไกประชาธิปไตยก็เดินหน้า ฝ่ายรัฐบาลก็หาคนดีมา เร่งทำงาน "เพื่อบ้านเมือง" ฝ่ายค้านก็ทำหน้าที่ตรวจสอบ เป็นหูเป็นตาแทนประชาชน สื่อมวลชนก็นำเสนอข้อมูลข่าวสารด้วยจิตสำนึกเพื่อปวงชน ประชาชนก็ใส่ใจติดตาม ให้กำลังใจกัน ให้โอกาสกัน แต่ก็ดูแลตรวจสอบไม่ให้นักการเมืองเพียงคิดว่าการเมืองเป็นเรื่อง "ธุรกิจ" แจกไปแล้ว ลงทุนไปแล้ว ก็รอมาถอนทุนบวกกำไรไป
การ "เมินอดีต" จึงช่วยให้เราไม่มีอคติต่อกัน คงความรักต่อกันการ ไมองอนาคตไ เป็นสิ่งสำคัญที่เราจะต้องคำนึงถึงอนาคตของประเทศชาติ ซึ่งย่อมกระทบถึงอนาคตของตัวเราและลูกหลานด้วย บ้านเมืองต้องมีความรัก สามัคคีกัน ต้องมีมาตรฐานคุณธรรม จริยธรรม สังคมจึงสงบสุข สังคมที่ทุกคนโกยทุกอย่างเข้าตัวเอง ก็เหมือนที่ผมเคยเสนอภาพจากเรื่อง I am Legend ซึ่งมนุษย์ถูกไวรัสบาป กินเลือดกินเนื้อกันและกัน เพื่อประทังชีวิตตนเอง มันก็นรกดีๆนี่เอง
เมื่อเรา "เมินอดีต" ไม่ยึดอคติติดใจกัน "มองอนาคต" เพื่อเป็นความหวังและปักธงให้เราเดินให้ถูกทาง เราก็ยังต้อง "มุ่งปัจจุบัน" ทำปัจจุบันให้ดีที่สุด เราแก้ไขอดีตไม่ได้ แต่สิ่งที่เราทำในปัจจุบัน จะส่งผลที่ดีต่ออนาคตได้ และช่วยไม่ให้เราหลงทางไป จนสูญเสียอนาคตได้ทุกคนจึงควรเดินหน้าอย่างมีความรัก ความหวัง และกำลังใจ โดย "เมินอดีต มองอนาคต และมุ่งปัจจุบัน"กระบวนการประชาธิปไตยจึงต้องเดินไปอย่างมั่นคง และสมานฉันท์กระบวนการกำกับ ตรวจสอบ และกระบวนการยุติธรรมจึงต้องเดินไปตามเนื้อผ้า ตัดสินตรงไปตรงมา ปราศจากอคติ ทุกฝ่ายก็พูดเสมอว่าตนเป็นคนดี ก็โปรดช่วยกันหวงแหนหลักนิติธรรม จริยธรรม เพราะหากเราไม่มีนิติธรรมหรือจริยธรรมระหว่างคนหมู่มากแล้ว สังคมก็ยากจะสงบสุข และยากจะเจริญได้ขอให้เรา "เมินอดีต มองอนาคต และมุ่งปัจจุบัน" เพื่อความผาสุกของปวงชนชาวไทยที่ยั่งยืนตลอดไปครับ
มนตรี ศรไพศาล
(Montree4life@yahoo.com)