ตอนที่ผมเริ่มคอลัมน์ “ฟ้าดินเดียวกัน” ใน ผู้จัดการรายวัน นั้น บทความชิ้นแรกที่เขียนลงผมใช้ชื่อว่า “เพื่อน” บทความชิ้นนี้ผมสาธยายเกี่ยวกับความผูกพันของผมกับเพื่อนฝูงที่มีอยู่ และด้วยความผูกพันนั้นก็เป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ผมต้องรับมาเขียนบทความในคอลัมน์นี้ ทั้งที่ตัวเองก็มีงานอยู่ในมือไม่น้อย
ตอนที่เขียนใหม่ๆ ก็ไม่สู้กระไรนัก เรียกว่าไปได้เรื่อยๆ ดีบ้างเลวบ้างย่อมมีปะปนกันไป เพราะรู้ตัวเสมอว่าไม่ใช่นักคิดนักเขียนที่มีความคิดแหลมคมอะไรหนักหนา ไม่เหมือนบางคนที่เขียนแต่ละชิ้นก็ดีแทบทุกชิ้น ดีจนสามารถนำไปรวมเล่มได้อย่างไม่ขัดเขิน
ในระหว่างที่เขียนประจำในคอลัมน์นี้นั้นมีบ้างเหมือนกันที่มี “งานเข้า” มาในช่วงที่จะต้องส่งบทความตามกำหนดเวลาจนไม่สามารถส่งได้ทัน และทำให้ต้องเว้นวรรคไปในสัปดาห์นั้น เวลาที่เจอ “งานเข้า” จนต้องเว้นวรรคนี้ ผมมักจะโทรศัพท์มาแจ้งคนที่ดูแลบทความของผมว่าต้องขอเว้นวรรคทุกครั้ง
เนื่องจากคนที่ดูแลนี้ผมนับเป็นเพื่อนคนหนึ่งของผม ดังนั้น ทุกครั้งที่โทรศัพท์แจ้งขอเว้นวรรค ผมจึงรู้สึกใจคอไม่สู้ดีด้วยความเกรงใจ “เพื่อน” เรื่องความขี้เกรงใจนี้ถือเป็นนิสัยเฉพาะตัวของผมก็ว่าได้
แต่จะด้วยนิสัยนี้หรือไม่ประการใดผมเองก็ไม่รู้ ที่ทำให้ผมมีเพื่อนเพิ่มขึ้นอยู่เรื่อยๆ จนเมื่อเร็วๆ นี้ผมมานั่งนับในใจเล่นๆ ว่าผมมีเพื่อนมากน้อยแค่ไหน ก็พบว่า มีหลายสิบคนเลยทีเดียว และถ้านับกันจริงๆ อาจจะถึงร้อยก็ได้
ผมควรบอกด้วยว่า การมีเพื่อนเยอะนี้ไม่ได้หมายความว่าผมเป็นคนดีจนมีคนมาคบหาหรือรักที่จะมาเป็นเพื่อนด้วยเสมอไป จริงๆ แล้วผมก็เป็นคนธรรมดาๆ คนหนึ่งที่มีทั้งด้านดีและไม่ดีอยู่ในตัว ยามที่ดีก็คบหากับเพื่อนฝูงเฮฮากันไปวันๆ ยามที่ไม่ดีขึ้นมาก็อาจทำให้เพื่อนโกรธหรือเข้าใจผิดได้เช่นกัน
อย่างหลังนี้สำคัญมาก ซึ่งผมต้องขอบอกว่าที่ว่า “ไม่ดี” นั้นไม่ได้หมายความว่าผมไปทำเรื่องชั่วช้าอะไร แต่เป็นเรื่องเผลอหลุดไปบ้าง เข้าใจผิดไปบ้าง ไม่รู้เรื่องรู้ราวบ้าง ฯลฯ ซึ่งทั้งหมดนี้ก็มาจากความซื่อบื้อของผมเอง
เรื่อง “ไม่ดี” ประเภทที่ไปคิดชั่วร้ายกับเพื่อนหรือกับใครก็ตาม ไม่เคยอยู่ในความคิดของผมเลยแม้แต่น้อย
ตรงกันข้าม ผมเคยสัมผัสได้ถึงคนที่คิดชั่วร้ายกับผมอยู่เหมือนกัน แต่ผมก็ไม่เคยคิดที่จะไปอาฆาตจองเวรแต่อย่างไร แน่นอนว่า คนเหล่านี้ย่อมไม่ใช่เพื่อนผม แต่เป็นคนที่ต้องแวะผ่านเข้ามาในวงจรชีวิตของผมอย่างที่ผมเองไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ แต่แม้ผมจะไม่จองเวรกับคนประเภทนี้ก็ตาม ผมก็อดไม่ได้ที่จะถามตัวเองในบางครั้งว่า เขาชิงชังรังเกียจเราด้วยเรื่องอะไร และหากผมรู้ว่าผมได้เคยไปทำอะไรให้เขารู้สึกเจ็บหรือเสียหาย ผมยินดีที่จะไปกราบขอโทษโดยไม่ลังเล แต่จนแล้วจนรอดผมก็คิดไม่ออก สิ่งที่ผมสงสัยจึงรบกวนจิตใจผมอยู่บ้างในบางครั้ง แต่ก็ไม่รุนแรงจนถึงกับกินไม่ได้นอนไม่หลับ
หลายปีมานี้ผมเริ่มปลงตกกับชีวิตและสุขุมมากขึ้น ชีวิตจึงดำเนินไปตามปกติดังผู้คนทั่วไป ซึ่งมีทั้งสุขบ้างทุกข์บ้างคละเคล้ากันไป
ถึงตรงนี้ผมต้องขอบอกอะไรอีกอย่างด้วยว่า เรื่องที่มีคนคิดร้ายกับผมนี้เป็นไปตามความหมายของคำจริงๆ นะครับ คือเล่นกันแรงแบบลับหลังโดยที่ผมจับไม่ได้คาหนังคาเขา ดังนั้น ใครที่เคยวิพากษ์วิจารณ์หรือต่อว่าอะไรผมจากที่ผ่านมาจึงไม่เกี่ยวกับกรณีนี้ และผมยังนับเป็นเพื่อนอยู่ แถมคิดถึงมากเสียด้วย (ฮา)
ด้วยเหตุนี้ ผมจึงยังคิดถึงเพื่อนบางคนที่ไปเล่นการเมืองอยู่เสมอ บางคนแม้จะคิดต่างขั้วกับผม และเคยถูกผมวิพากษ์วิจารณ์ไปบ้าง แต่ก็ไม่ได้เป็นไปอย่างรุนแรงหรือหยาบคาย ส่วนเขาจะยังนับผมเป็นเพื่อนด้วยหรือไม่นั้น ผมไม่รู้
คิดถึงปัญหาการเมืองที่เป็นอยู่ในตอนนี้แล้วก็ให้เสียความรู้สึกไปไม่น้อยเหมือนกัน เพราะหลายปีที่ผ่านมานี้ เราคงได้เห็นแล้วว่า ปัญหานี้ได้ทำให้คนที่เคยเป็นเพื่อนกันมาก่อนต้องมีอันแตกกันไป และแตกกันในแบบที่ผมเองก็ไม่รู้ว่า ถ้าตายแล้วเขายังเผาผีกันอยู่หรือเปล่า
ถ้าถึงขั้นไม่เผาผีกันก็นับเป็นเรื่องที่น่าเสียใจอย่างมาก ด้วยว่าที่แตกกันนี้ทุกคนต่างก็อ้างว่าตัวเองรักประชาธิปไตยและรักประชาชนด้วยกันทั้งนั้น ซึ่งเราก็รู้อยู่ว่าถ้ารักจริงแล้วก็ย่อมคิดต่างกันได้ เมื่อคิดต่างกันได้แล้ว เหตุใดจึงต้องเอาความต่างนั้นมาทำให้ความเป็นเพื่อนต้องแตกกันไปด้วยเล่า?
พูดเหมือนฟังดูง่ายนะครับ...แต่ผมก็พูดไปทั้งๆ ที่รู้ว่า ในความต่างนั้นมันมีรายละเอียดที่สลับซับซ้อนอยู่มากมาย ฉะนั้น หากเพื่อน (ที่แตกกัน) เหล่านี้ได้มานั่งพูดคุยสนทนากันอย่างจริงจังบ้างก็น่าจะดีไม่น้อย
บางคนอาจแย้งว่ายาก เพราะพอคุยกันไปถึงจุดๆ หนึ่งแล้วก็ต้องแตกหักอยู่ดี แต่ผมว่าหากจะจับเข่าคุยกันแล้ว ต้องเริ่มจากที่แต่ละฝ่ายแต่ละคนต้องตั้งสติระลึกถึงความเป็นเพื่อนจากที่ผ่านมาก่อน ว่ามันเป็นวันคืนที่ทรงคุณค่าและสุขใจมากขนาดไหน เมื่อระลึกได้แล้วก็จะชั่งใจและพูดคุยกันได้
พูดไปอย่างนี้ก็เหมือนกับเพ้อฝัน เพราะปัญหาที่เกิดขึ้นนั้น หลายเรื่องไปไกลเกินจะกู่กลับ แต่ยังไงไม่รู้ซิครับ ผมกลับรู้สึกดีในความเป็นเพื่อนอยู่เสมอ ด้วยเหตุนี้กระมังที่ทำให้ผมเป็นคนมีเพื่อนเยอะ และในความเป็นเพื่อนนี้เวลาคิดต่างหรือถูกต่อว่าในเรื่องอะไร ผมจึงไม่เก็บมานั่งคิด ได้แต่ยิ้มๆ แล้วก็ดำเนินชีวิตอย่างที่มันควรจะเป็นต่อไปตามปกติ
ที่ผมสาธยายมายืดยาวจนดูเหมือนเพ้อเจ้อนี้ ไม่เพียงต้องการจะชี้ให้เห็นถึงคุณค่าของความเป็นเพื่อนเท่านั้น แต่เขียนเพราะตอนนี้ผมกำลัง “งานเข้า” อย่างชนิดที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนในชีวิต จริงๆ แล้วงานมันเข้ามานานหลายเดือนแล้วด้วยซ้ำ และทำให้ผมต้องเว้นวรรคในคอลัมน์นี้อยู่บ่อยครั้ง โดยเฉพาะในชั้นหลังๆ มานี้ ที่สำคัญคือ ผมได้แจ้งให้เพื่อนของผมที่ดูแลคอลัมน์ของผมมานานแล้วว่ามี “งานเข้า” มาเยอะจริงๆ จนบอกว่าจะขอหยุดเขียนคอลัมน์นี้เสียที แต่เพื่อนก็ขอเอาไว้ และด้วยความรักเพื่อน ผมก็เขียนมาเรื่อยๆ
ทุกวันนี้ คำว่า “งานเข้า” กลายเป็นคำที่ใช้เปรียบกับคนที่กำลัง “มีเรื่อง” เข้ามาหาเป็นระยะ และแต่ละเรื่องล้วนเป็นปัญหาให้ต้องแก้ทั้งสิ้น ซึ่งหลายๆ เรื่องมักจะเป็นเรื่องที่ไม่เป็นเรื่อง แต่ที่ “มีเรื่อง” เพราะเจ้าตัวไปหาเรื่องนั้นมาใส่ตัวเองในแบบที่ว่าอยู่ดีไม่ว่าดี
แต่ของผมนี้เป็นงานจริงๆ ไม่ได้ไปหาเรื่องใครเขาแบบ “มีเรื่อง” อย่างที่ว่า ผมได้ชั่งน้ำหนักดูมานานหลายเดือนแล้วว่า หากยังเขียนคอลัมน์นี้ต่อไป รับรองว่าต้อง “มีเรื่อง” หรือ “งานเข้า” ตามความหมายอย่างที่เปรียบเปรยกันนั้นเข้าสักวันแน่ๆ ผมจึงได้แจ้งเพื่อนผมไปว่าจะขอหยุดคอลัมน์ลงชั่วคราว ซึ่งคงยาวนานนับปีอยู่เหมือนกัน
แต่ด้วยความเป็นเพื่อน ผมย่อมไม่หักหาญน้ำใจเพื่อนแบบสิ้นเยื่อสิ้นใย โดยบอกเพื่อนไปว่า ถ้าเริ่มว่างเมื่อไหร่ก็จะกลับมาเขียนให้ใหม่ ทั้งนี้ถ้าหากเขายังต้อนรับผมอยู่ ตอนที่บอกเพื่อนไปอย่างนั้น ใจผมก็อดถามตัวเองไม่ได้อยู่เหมือนกันว่า แล้วเรารู้ได้อย่างไรว่าที่เขียนๆ ไปนั้นคนอ่านเขาคิดยังไง ชอบหรือไม่ชอบ
คิดแล้วก็ตอบตัวเองเสร็จว่า เอาไว้ถึงเวลาค่อยมาว่ากันใหม่ก็แล้วกัน ว่าแต่ว่าถึงตอนนั้น ไม่รู้ว่าเพื่อนที่แตกกันไปในขณะนี้จะเป็นอย่างไรบ้าง
ก็ได้แต่หวังว่า ถึงวันนั้นทุกคนคงหวนกลับมากอดคอเดินบนถนนสายเดียวกันนี้อีกครั้ง ถนนที่มีชื่อว่า “เพื่อน”
....จนกว่าจะพบกันอีก....
ตอนที่เขียนใหม่ๆ ก็ไม่สู้กระไรนัก เรียกว่าไปได้เรื่อยๆ ดีบ้างเลวบ้างย่อมมีปะปนกันไป เพราะรู้ตัวเสมอว่าไม่ใช่นักคิดนักเขียนที่มีความคิดแหลมคมอะไรหนักหนา ไม่เหมือนบางคนที่เขียนแต่ละชิ้นก็ดีแทบทุกชิ้น ดีจนสามารถนำไปรวมเล่มได้อย่างไม่ขัดเขิน
ในระหว่างที่เขียนประจำในคอลัมน์นี้นั้นมีบ้างเหมือนกันที่มี “งานเข้า” มาในช่วงที่จะต้องส่งบทความตามกำหนดเวลาจนไม่สามารถส่งได้ทัน และทำให้ต้องเว้นวรรคไปในสัปดาห์นั้น เวลาที่เจอ “งานเข้า” จนต้องเว้นวรรคนี้ ผมมักจะโทรศัพท์มาแจ้งคนที่ดูแลบทความของผมว่าต้องขอเว้นวรรคทุกครั้ง
เนื่องจากคนที่ดูแลนี้ผมนับเป็นเพื่อนคนหนึ่งของผม ดังนั้น ทุกครั้งที่โทรศัพท์แจ้งขอเว้นวรรค ผมจึงรู้สึกใจคอไม่สู้ดีด้วยความเกรงใจ “เพื่อน” เรื่องความขี้เกรงใจนี้ถือเป็นนิสัยเฉพาะตัวของผมก็ว่าได้
แต่จะด้วยนิสัยนี้หรือไม่ประการใดผมเองก็ไม่รู้ ที่ทำให้ผมมีเพื่อนเพิ่มขึ้นอยู่เรื่อยๆ จนเมื่อเร็วๆ นี้ผมมานั่งนับในใจเล่นๆ ว่าผมมีเพื่อนมากน้อยแค่ไหน ก็พบว่า มีหลายสิบคนเลยทีเดียว และถ้านับกันจริงๆ อาจจะถึงร้อยก็ได้
ผมควรบอกด้วยว่า การมีเพื่อนเยอะนี้ไม่ได้หมายความว่าผมเป็นคนดีจนมีคนมาคบหาหรือรักที่จะมาเป็นเพื่อนด้วยเสมอไป จริงๆ แล้วผมก็เป็นคนธรรมดาๆ คนหนึ่งที่มีทั้งด้านดีและไม่ดีอยู่ในตัว ยามที่ดีก็คบหากับเพื่อนฝูงเฮฮากันไปวันๆ ยามที่ไม่ดีขึ้นมาก็อาจทำให้เพื่อนโกรธหรือเข้าใจผิดได้เช่นกัน
อย่างหลังนี้สำคัญมาก ซึ่งผมต้องขอบอกว่าที่ว่า “ไม่ดี” นั้นไม่ได้หมายความว่าผมไปทำเรื่องชั่วช้าอะไร แต่เป็นเรื่องเผลอหลุดไปบ้าง เข้าใจผิดไปบ้าง ไม่รู้เรื่องรู้ราวบ้าง ฯลฯ ซึ่งทั้งหมดนี้ก็มาจากความซื่อบื้อของผมเอง
เรื่อง “ไม่ดี” ประเภทที่ไปคิดชั่วร้ายกับเพื่อนหรือกับใครก็ตาม ไม่เคยอยู่ในความคิดของผมเลยแม้แต่น้อย
ตรงกันข้าม ผมเคยสัมผัสได้ถึงคนที่คิดชั่วร้ายกับผมอยู่เหมือนกัน แต่ผมก็ไม่เคยคิดที่จะไปอาฆาตจองเวรแต่อย่างไร แน่นอนว่า คนเหล่านี้ย่อมไม่ใช่เพื่อนผม แต่เป็นคนที่ต้องแวะผ่านเข้ามาในวงจรชีวิตของผมอย่างที่ผมเองไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ แต่แม้ผมจะไม่จองเวรกับคนประเภทนี้ก็ตาม ผมก็อดไม่ได้ที่จะถามตัวเองในบางครั้งว่า เขาชิงชังรังเกียจเราด้วยเรื่องอะไร และหากผมรู้ว่าผมได้เคยไปทำอะไรให้เขารู้สึกเจ็บหรือเสียหาย ผมยินดีที่จะไปกราบขอโทษโดยไม่ลังเล แต่จนแล้วจนรอดผมก็คิดไม่ออก สิ่งที่ผมสงสัยจึงรบกวนจิตใจผมอยู่บ้างในบางครั้ง แต่ก็ไม่รุนแรงจนถึงกับกินไม่ได้นอนไม่หลับ
หลายปีมานี้ผมเริ่มปลงตกกับชีวิตและสุขุมมากขึ้น ชีวิตจึงดำเนินไปตามปกติดังผู้คนทั่วไป ซึ่งมีทั้งสุขบ้างทุกข์บ้างคละเคล้ากันไป
ถึงตรงนี้ผมต้องขอบอกอะไรอีกอย่างด้วยว่า เรื่องที่มีคนคิดร้ายกับผมนี้เป็นไปตามความหมายของคำจริงๆ นะครับ คือเล่นกันแรงแบบลับหลังโดยที่ผมจับไม่ได้คาหนังคาเขา ดังนั้น ใครที่เคยวิพากษ์วิจารณ์หรือต่อว่าอะไรผมจากที่ผ่านมาจึงไม่เกี่ยวกับกรณีนี้ และผมยังนับเป็นเพื่อนอยู่ แถมคิดถึงมากเสียด้วย (ฮา)
ด้วยเหตุนี้ ผมจึงยังคิดถึงเพื่อนบางคนที่ไปเล่นการเมืองอยู่เสมอ บางคนแม้จะคิดต่างขั้วกับผม และเคยถูกผมวิพากษ์วิจารณ์ไปบ้าง แต่ก็ไม่ได้เป็นไปอย่างรุนแรงหรือหยาบคาย ส่วนเขาจะยังนับผมเป็นเพื่อนด้วยหรือไม่นั้น ผมไม่รู้
คิดถึงปัญหาการเมืองที่เป็นอยู่ในตอนนี้แล้วก็ให้เสียความรู้สึกไปไม่น้อยเหมือนกัน เพราะหลายปีที่ผ่านมานี้ เราคงได้เห็นแล้วว่า ปัญหานี้ได้ทำให้คนที่เคยเป็นเพื่อนกันมาก่อนต้องมีอันแตกกันไป และแตกกันในแบบที่ผมเองก็ไม่รู้ว่า ถ้าตายแล้วเขายังเผาผีกันอยู่หรือเปล่า
ถ้าถึงขั้นไม่เผาผีกันก็นับเป็นเรื่องที่น่าเสียใจอย่างมาก ด้วยว่าที่แตกกันนี้ทุกคนต่างก็อ้างว่าตัวเองรักประชาธิปไตยและรักประชาชนด้วยกันทั้งนั้น ซึ่งเราก็รู้อยู่ว่าถ้ารักจริงแล้วก็ย่อมคิดต่างกันได้ เมื่อคิดต่างกันได้แล้ว เหตุใดจึงต้องเอาความต่างนั้นมาทำให้ความเป็นเพื่อนต้องแตกกันไปด้วยเล่า?
พูดเหมือนฟังดูง่ายนะครับ...แต่ผมก็พูดไปทั้งๆ ที่รู้ว่า ในความต่างนั้นมันมีรายละเอียดที่สลับซับซ้อนอยู่มากมาย ฉะนั้น หากเพื่อน (ที่แตกกัน) เหล่านี้ได้มานั่งพูดคุยสนทนากันอย่างจริงจังบ้างก็น่าจะดีไม่น้อย
บางคนอาจแย้งว่ายาก เพราะพอคุยกันไปถึงจุดๆ หนึ่งแล้วก็ต้องแตกหักอยู่ดี แต่ผมว่าหากจะจับเข่าคุยกันแล้ว ต้องเริ่มจากที่แต่ละฝ่ายแต่ละคนต้องตั้งสติระลึกถึงความเป็นเพื่อนจากที่ผ่านมาก่อน ว่ามันเป็นวันคืนที่ทรงคุณค่าและสุขใจมากขนาดไหน เมื่อระลึกได้แล้วก็จะชั่งใจและพูดคุยกันได้
พูดไปอย่างนี้ก็เหมือนกับเพ้อฝัน เพราะปัญหาที่เกิดขึ้นนั้น หลายเรื่องไปไกลเกินจะกู่กลับ แต่ยังไงไม่รู้ซิครับ ผมกลับรู้สึกดีในความเป็นเพื่อนอยู่เสมอ ด้วยเหตุนี้กระมังที่ทำให้ผมเป็นคนมีเพื่อนเยอะ และในความเป็นเพื่อนนี้เวลาคิดต่างหรือถูกต่อว่าในเรื่องอะไร ผมจึงไม่เก็บมานั่งคิด ได้แต่ยิ้มๆ แล้วก็ดำเนินชีวิตอย่างที่มันควรจะเป็นต่อไปตามปกติ
ที่ผมสาธยายมายืดยาวจนดูเหมือนเพ้อเจ้อนี้ ไม่เพียงต้องการจะชี้ให้เห็นถึงคุณค่าของความเป็นเพื่อนเท่านั้น แต่เขียนเพราะตอนนี้ผมกำลัง “งานเข้า” อย่างชนิดที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนในชีวิต จริงๆ แล้วงานมันเข้ามานานหลายเดือนแล้วด้วยซ้ำ และทำให้ผมต้องเว้นวรรคในคอลัมน์นี้อยู่บ่อยครั้ง โดยเฉพาะในชั้นหลังๆ มานี้ ที่สำคัญคือ ผมได้แจ้งให้เพื่อนของผมที่ดูแลคอลัมน์ของผมมานานแล้วว่ามี “งานเข้า” มาเยอะจริงๆ จนบอกว่าจะขอหยุดเขียนคอลัมน์นี้เสียที แต่เพื่อนก็ขอเอาไว้ และด้วยความรักเพื่อน ผมก็เขียนมาเรื่อยๆ
ทุกวันนี้ คำว่า “งานเข้า” กลายเป็นคำที่ใช้เปรียบกับคนที่กำลัง “มีเรื่อง” เข้ามาหาเป็นระยะ และแต่ละเรื่องล้วนเป็นปัญหาให้ต้องแก้ทั้งสิ้น ซึ่งหลายๆ เรื่องมักจะเป็นเรื่องที่ไม่เป็นเรื่อง แต่ที่ “มีเรื่อง” เพราะเจ้าตัวไปหาเรื่องนั้นมาใส่ตัวเองในแบบที่ว่าอยู่ดีไม่ว่าดี
แต่ของผมนี้เป็นงานจริงๆ ไม่ได้ไปหาเรื่องใครเขาแบบ “มีเรื่อง” อย่างที่ว่า ผมได้ชั่งน้ำหนักดูมานานหลายเดือนแล้วว่า หากยังเขียนคอลัมน์นี้ต่อไป รับรองว่าต้อง “มีเรื่อง” หรือ “งานเข้า” ตามความหมายอย่างที่เปรียบเปรยกันนั้นเข้าสักวันแน่ๆ ผมจึงได้แจ้งเพื่อนผมไปว่าจะขอหยุดคอลัมน์ลงชั่วคราว ซึ่งคงยาวนานนับปีอยู่เหมือนกัน
แต่ด้วยความเป็นเพื่อน ผมย่อมไม่หักหาญน้ำใจเพื่อนแบบสิ้นเยื่อสิ้นใย โดยบอกเพื่อนไปว่า ถ้าเริ่มว่างเมื่อไหร่ก็จะกลับมาเขียนให้ใหม่ ทั้งนี้ถ้าหากเขายังต้อนรับผมอยู่ ตอนที่บอกเพื่อนไปอย่างนั้น ใจผมก็อดถามตัวเองไม่ได้อยู่เหมือนกันว่า แล้วเรารู้ได้อย่างไรว่าที่เขียนๆ ไปนั้นคนอ่านเขาคิดยังไง ชอบหรือไม่ชอบ
คิดแล้วก็ตอบตัวเองเสร็จว่า เอาไว้ถึงเวลาค่อยมาว่ากันใหม่ก็แล้วกัน ว่าแต่ว่าถึงตอนนั้น ไม่รู้ว่าเพื่อนที่แตกกันไปในขณะนี้จะเป็นอย่างไรบ้าง
ก็ได้แต่หวังว่า ถึงวันนั้นทุกคนคงหวนกลับมากอดคอเดินบนถนนสายเดียวกันนี้อีกครั้ง ถนนที่มีชื่อว่า “เพื่อน”
....จนกว่าจะพบกันอีก....