คอลัมน์ "รอบรู้ตลาดทุน" โดย ... มนตรี ศรไพศาล (montree4life@yahoo.com)
บทเรียนต่อเนื่องในเทศกาล "วันครอบครัว" สืบเนื่องจากเรื่อง "พ่อจ๋า...อย่าร้องไห้" ซึ่งให้บทเรียนสำหรับลูกๆ ที่น่าจะมีต่อพ่อแม่ มาสู่ "The Family Man" ซึ่งเป็นบทเรียนสำหรับสามีต่อภรรยาและครอบครัว แจ็ค แคมเบล นักวาณิชธนากร / นักลงทุนสถาบันคนหนุ่มรุ่นใหม่ไฟแรง เขากำลังลา เคท แฟนของเขา ไปทำงานกับ ธนาคารบาเคลย์ แฟนเขาบอกว่า "อย่าไปเลย" เธอรู้สึกว่า ถ้าเขาไปแล้ว แฟนของเธอจะลืมครอบครัว และชีวิตคู่ที่เคยวางไว้จะหายไป แต่แจ็ครับปากเขาว่า "ไม่จริงหรอก 1 ปี เปลี่ยนแปลงความรักที่เขามีต่อเธอไม่ได้ 100 ปี ก็เปลี่ยนแปลงไม่ได้" แล้วเขาก็จูบลา และขึ้นเครื่องบินไปรับงานใหม่ที่น่าตื่นเต้นท้าทาย
13 ปีผ่านไป แจ็คได้กลายเป็นประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทลงทุนยักษ์ใหญ่ มีพฤติกรรมเพลย์บอย มีสาวกิ๊กนอนด้วยกันไม่ต้องซ้ำหน้า เย็นวันก่อนคริสตมาส เขาได้พบกับทูตสวรรค์ ในรูปของคนดำคนหนึ่ง กำลังจะขึ้นเงินล็อตโต แต่เจ้าของร้านพูดกับเขาอย่างดูถูก จนเขารู้สึกทนไม่ได้ ยกปืนขึ้นเรียกร้องความเป็นธรรม แจ็คเห็นท่าไม่ดี จึงเข้าไปช่วยไกล่เกลี่ย และเตือนทูตสวรรค์ว่า น่าจะรู้จักทำงานหนัก เพื่อให้มีฐานะที่ดีขึ้น ทูตสวรรค์เห็นความดีในตัวของแจ็ค จึงถามแจ็คว่า "ในชีวิตของแจ็คขาดอะไร ?" แจ็คก็บอกว่าเขาไม่ขาดอะไรเลย ทูตสวรรค์บอกเขาว่า สิ่งที่แจ็คได้ตั้งใจช่วยเขานั้นยอดมาก เขาจึงจะได้รับพระพร ที่เขาอาจจะยังนึกไม่ถึง แล้วเขาจะค้นพบสิ่งดี ๆ ในชีวิตที่ขาดหายไป
แจ็คกลับไปนอนที่เพนท์เฮ้าส์สุดหรูหราของเขา แต่เมื่อเขาตื่นขึ้นมา เขากลับนอนอยู่เคียงข้างเคทแฟนเก่าของเขา ซึ่งกลายมาเป็นภรรยาของเขา เขากลายเป็นอยู่ในบ้าน 2 ชั้น ในชนบท (ก็ไม่ถึงชนบทมากแบบที่บ้านเรานัก) ลูกสาวเข้าห้องมาร้องเพลง "จิงเกิลเบล ๆ" อย่างตื่นเต้น เพื่อส่งสัญญาณแห่งวันคริสตมาส
เขาตื่นเต้นตกใจ คิดว่าฝันไป จะลงมาหารถเฟอรารี่สุดหรูก็ไม่มี มีแต่รถแวนสำหรับครอบครัวคันหนึ่ง เขาขับรถกลับไปที่คอนโดของเขา เพื่อจะขึ้นไปที่เพนเฮ้าส์ของเขา คนเผฝ้าคอนโดฯก็ไม่ยอมให้เข้า กลับไปที่สำนักงาน คนยามก็ไม่รู้จัก ชีวิตของเขาเปลี่ยนไปคนละโลกแล้ว
แจ็คยังรู้สึกงงว่า พระพรอย่างไร รถไม่หรู งานการไม่สูง เป็นเพียงคนขายยางรถยนต์ในชนบท มีภรรยาหนึ่ง ลูกสอง เงินในบัญชีก็มีเพียงนิดเดียว ต้องขับรถรับส่งลูกๆแต่อีกมุมหนึ่ง เขามีครอบครัวที่น่ารัก ไม่มีกิ๊กที่หมุนเวียนเปลี่ยนไป แต่ก็มีเคทกับเขาแต่งงานกันมาแล้ว 13 ปี ก็ยังรักกันหวานชื่น ลึกซึ้งกว่ากิ๊กที่เป็นความสัมพันธ์เพียงฉาบฉวยมากนัก เพราะนอกจากเรื่องความรักแบบฮันนีมูนเป็นประจำแล้ว เคทยังให้ความรัก ความเข้าใจ คอยให้กำลังใจ เล่นจ๊ะเอ๋กันในบ้านอย่างสดชื่น
ลูกเอมีลี่ 3-4 ขวบ ที่กำลังอยากรู้อยากเห็น มีรอยยิ้มที่ประทับใจ สายตาแห่งความรัก วางใจ พึ่งพา อย่างที่พ่อแม่ทุกคนก็จะต้องทุ่มเทใจรักให้ ลูกจอร์จที่ยังอายุเพียง 8-9 เดือน ยังต้องใช้กางเกงผ้าอ้อมอยู่เลย เขาดูไร้เดียงสา สดใส เปิดใจรักบริสุทธิ์ อ่อนแอ เปราะบางน่าทะนุถนอมจริงๆในวันครบรอบแต่งงาน แจ็คได้พาภรรยาเขา ไปนั่งรับประทานอาหารหรูหรา แล้วเขาก็บอกกับเคทว่า เขายังมีความทรงจำกับชีวิตนักลงทุนมืออาชีพ มีรถเท่ห์ๆ เพนท์เฮ้าส์หรูหรา สูทราคาแพง ดื่มไวน์แพงๆเป็นขวดๆ ซึ่งต่างกับชีวิตที่มีครอบครัวเช่นนี้ เคทก็ถามว่า"“แล้วชีวิตที่มีครอบครัวนี้ มันแย่กว่าหรือ ?" เขาก็บอกว่า "ไม่ แต่แตกต่างกัน"
เคทบอกกับเขาว่า "ฉันก็เคยคิด ว่าถ้าฉันไม่แต่งงาน ฉันใช้ชีวิตของฉัน ทำงานที่ฉันอยากทำ ฉันก็คงสนุกกับงาน มีอาชีพที่ก้าวหน้า มีเงินมากมาย แต่ในภาพที่ฉันคิดนั้น ไม่มีอะไรสักอย่างที่ฉันรู้สึกเชื่อมั่น คงอยู่ถาวร" แจ็คถามว่า อะไรหรือที่ขาดไป เคทตอบว่า "ขาดเธอ ลูกๆ ความรักในครอบครัว ที่เป็นสิ่งที่เธอเห็นว่าเธอเชื่อมั่นได้นิรันดร์" แจ็คก็บอกกับ เคทว่า "เป็นความคิดสุดยอด" เขาก็เห็นด้วย ในโลกนี้ ทุกอย่างไม่แน่นอน แต่ความรักแท้ในครอบครัวเท่านั้น ที่ถาวรตลอดไป และถ้าเลือกได้ เขาอยากเลือกที่จะอยู่กับครอบครัวที่อบอุ่นต่อไป และพร้อมจะตายท่ามกลางความรักในครอบครัวที่อบอุ่นดีกว่าอยู่แต่เพียงคนเดียว ไม่มีใครที่เขารักอยู่ข้างกายบางคนอาจบอกว่า ไม่จริง ความรักที่พบอยู่เป็นความทุกข์ เป็นความจอมปลอม ผมว่าเป็นเพราะรักไม่พอ หรือรักไม่เป็น หรือเชื่ออย่าว่าความรักเป็นความทุกข์มากกว่า ผมและครอบครัวรักกันมากว่า 20 ปี ยังหวานชื่นดีอยู่ (ดีขึ้นเรื่อยๆ) ลูกๆของเรา อยู่ในความรักแท้ในครอบครัว เขาก็มีความรักที่เต็มหัวใจ เมื่อใดนึกถึงความรักของภรรยาและลูกๆ ก็เป็นความหมายและเป็นกำลังใจในชีวิตเป็นอย่างดีเสมอจริงๆ
สตีเฟ่น โควี่ เคยเขียนหนึ่งในอุปนิสัย 7 ประการของผู้บริหารที่ประสบความสำเร็จว่า First Thing First "สิ่งใดสำคัญที่สุดในชีวิต ก็อย่าให้ความสำคัญรองจากเรื่องอื่นๆ" สำหรับคนทุกคน อะไรในชีวิตที่เราเห็นว่าสำคัญ ถ้าเทียบไม่ได้ ให้คิดใหม่ว่า เราตัดอะไรไปจากชีวิตเราได้ คนส่วนใหญ่จะตอบตรงกันว่า เงิน บ้าน รถ หน้าที่ ตำแหน่ง อำนาจ แม้จะสำคัญ แต่หากต้องเลือก ยังถือว่าตัดออกไปได้ แต่แทบทุกคนจะตัดครอบครัวออกไปไม่ได้ หากเราดำเนินชีวิตไป คนที่เรารักกลับไม่มีสักคน ชีวิตจะมีความหมายอะไร (ไม่ได้แปลว่า ทุกคนต้องแต่งงาน แต่ทุกคนควรมีคนที่เรารักและปรารถนาดีต่อเขาบ้างในโลกนี้)
ผู้บริหารระดับสูงคนหนึ่ง ร่ำรวยมหาศาล เคยหารือกับสตีเฟ่นว่า เขาหมดกำลังใจทำงาน สับสนชีวิต เพราะเขาพบว่า ลูกเขาไม่ยอมรับเขา สตีเฟ่นก็ย้ำหลักการเดิมว่า "อย่าให้สิ่งที่สำคัญที่สุด มีความสำคัญรองจากเรื่องอื่น" กลับไปทุ่มเทคืนดีในครอบครัวก่อน แล้วชีวิตทุกด้านจะดีขึ้น เขาก็ทำเช่นนั้น แล้วกลับมาขอบคุณสตีเฟ่นว่า "เขาได้ลูกชายกลับมาแล้ว" และหลังจากนั้น ก็มีกำลังใจทำงานได้ดีเหมือนเดิมหวังว่า ผู้อ่านจะเห็นด้วยนะครับว่า "ในเมื่อครอบครัวมีความสำคัญ ก็อย่าละเลยความสำคัญไป" และหากมองบ้านเมืองเป็นครอบครัว เราก็หวังว่าผู้นำบ้านเมืองจะบริหารบ้านเมือง ด้วยความรักแบบผู้นำครอบครัวระดับชาติ คือบริหารด้วยความรัก ความจริงใจ สร้างความรักความสามัคคี และความชอบธรรมความสว่าง ครอบครัว "ชาวไทย" ของเราก็จะมีแต่ความสุขสงบร่มเย็น และมีคุณธรรมจริยธรรมหนุนนำสันติสุขในแผ่นดินครับ