xs
xsm
sm
md
lg

บทเรียนจากภาพยนตร์ในเทศกาลวันครอบครัว (1) เรื่อง "พ่อจ๋า...อย่าร้องไห้"

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ในโอกาสวันดี วันที่ 14 เมษายน ที่ผ่านมา ซึ่งได้รับการกำหนดให้เป็น "วันครอบครัว" ผมนึกถึงภาพยนตร์ ดีๆ หลายเรื่อง ได้แก่ "พ่อจ๋า...อย่าร้องไห้" ซึ่งให้บทเรียนสำหรับลูกๆ ที่น่าจะมีต่อพ่อแม่ "The Family Man" ซึ่งเป็นบทเรียนสำหรับสามีต่อภรรยา "Evan Almighty" ซึ่งเป็นบทเรียนสำหรับครอบครัวต่อผู้นำ และ "The Pursuit of Happyness" ซึ่งเป็นอีกบทเรียนสำหรับพ่อที่มีต่อลูก สัปดาห์นี้ เราจะเริ่มที่เรื่อง "พ่อจ๋า...อย่าร้องไห้"

เป็นภาพยนตร์จีนที่ผมประทับใจตั้งแต่เด็กๆ กล่าวถึงชายใบ้คนหนึ่ง มีอาชีพเก็บขวดมาขาย แม้เขาจะเป็นคนใบ้ เขาก็ส่งเสียงได้ด้วยการเป่าแตรว่าเขารับซื้อขวดเก่า และของเก่า คนทั้งหลายเห็นว่าลุงใบ้นี้เป็นคนขยัน สู้ชีวิต ยิ้มแย้มแจ่มใส มีพลัง ก็ชื่นใจและได้ช่วยเหลือให้ขวด ขายขวด ขายของเก่า ซื้อขวด ซื้อของเก่า กับลุงใบ้มาเรื่อย

วันหนึ่ง ลุงใบ้มาเก็บขวด เก็บของเก่าเพื่อเตรียมขายที่กองขยะ กลับได้ยินเสียงเด็กทารกร้องไห้ จึงหันไปหา ก็พบเด็กทารกหญิงร้องไห้อยู่ในตะกร้า ลุงใบ้ก็อุ้มขึ้นมา ก็เช่นเดียวกับที่พ่อแม่อุ้มลูกน้อยทั่วไปครับ เธอช่างเปราะบาง ไร้เดียงสา ไร้พิษภัย ใสๆ อนาคตเธอจะเป็นอย่างไร ก็ขึ้นกับที่เราจะใส่อะไรเข้า ให้ความรักกับเธอ เธอก็ตอบสนองด้วยความรัก ความวางใจ ให้ความกดดันแก่เธอ เธอก็กลายเป็นผู้เก็บกด ซึมเศร้า เจ้าทุกข์

ลูกๆทุกคนเป็นความหวังและเป็นความหมายของชีวิตพ่อแม่เสมอ เราทุกคนเกิดมาในโลก ก็คงเคยมีคำถามว่า

"เราเกิดมาทำไมในโลกนี้ ?" "ทำไมเราจึงถูกสร้างมาให้เราเป็นเรา คนนี้ ?" คำตอบที่ผมเชื่อว่าใช่ คือ "เราทุกคนถูกสร้างมาอย่างดีเลิศ ให้มีเพียงหนึ่งเดียวในโลกนี้ ก็เพราะเหตุผลพิเศษ บทบาทของเรา ไม่มีใครแทนได้" บทบาทหนึ่งที่มีความหมายยิ่ง** คือการได้สร้างใครสักคน ให้มีความสุขในโลกนี้ และมีคุณค่าอย่างดีต่อโลกนี้ต่อไปการที่พ่อแม่จะได้สร้างลูก จึงเป็นสิ่งที่มีคุณค่าและความหมายเป็นอย่างยิ่ง** ลุงใบ้ไม่มีลูก เมื่อเห็นเด็กทารก และจดหมายจากแม่ว่า เธอดูแลไม่ไหว จึงขอให้ผู้เมตตาได้เก็บเธอไปเลี้ยงดูแลด้วย ลุงใบ้จึงดีใจอย่างมากอุ้มลูกกลับบ้านด้วยความชื่นชมยินดี คนในหมู่บ้านก็ประกาศกันเป็นที่เอิกเกริก หลายๆคนก็มาช่วยลุงใบ้อุ้มและดูแลลูกน้อยลุงใบ้ก็เลี้ยงดูเด็กน้อยมาอย่าง "พอเพียง" แม้กระทั่งของเล่น ก็ไม่มีให้ แต่เศษของเล่นเก่าที่คนอื่นทิ้งแล้ว ก็เป็นของเล่นที่ลุงใบ้ได้เล่นเฮฮาสนุกสนานกับ "ลูกสาว" ได้ ภาพที่ลุงใบ้เล่นกังหันกระดาษเป่าลมกับเด็กน้อย เป็นภาพร้อยยิ้มและเสียงหัวเราะของ "พ่อ" กับ "ลูก" ที่น่าประทับใจจริงๆ

เมื่อลูกเติบโตเป็นสาว เธอมีบุคคลิกที่ดี และร้องเพลงเพราะ จนได้มีโอกาสประกวดแข่งขันร้องเพลง เธอเริ่มมีชื่อเสียง และเริ่มเลี้ยงดูตอบแทนพ่อแม่ได้ เธอซื้อทีวีให้ได้ ตู้เย็นให้ได้ แต่สิ่งหนึ่งที่ขาดหายไป คือ "เวลา" ลุงใบ้อยู่ในบ้านที่สวยขึ้น มีอุปกรณ์ต่างๆมากขึ้น แต่กลับเหงาเดียวดาย นึกถึงแต่ภาพเก่าๆ ที่นั่งรถสามล้อถีบ (ซาเล้ง) ไปกับลูกน้อย ไม่มีโทรทัศน์ ไม่มีตู้เย็น แต่เล่นเฮฮากับเด็กน้อยได้ด้วยกังหันกระดาษ แต่วันนี้กลับไม่มีลูกน้อยอีกแล้ว มีแต่ข้าวของต่างๆซึ่งก็ไร้ความหมาย ลุงใบ้เริ่มป่วย และลูกสาวก็เริ่มเข้าใจ แต่เอเย่นต์ก็ยืนยันว่า ต้องออกทัวร์แสดงคอนเสิร์ต เพราะเป็นโอกาสทอง รอไม่ได้ ลูกสาวก็จำใจไปแสดงคอนเสิร์ต โดยตั้งใจว่า จะเป็นครั้งสุดท้ายจริงๆ (หลังจากก่อนหน้านั้น ก็คิดว่าจะเป็นครั้งสุดท้าย จะได้มีเวลาดูแลพ่อแม่)

ฉากสุดท้ายบนเวทีการแสดง เป็นฉากประทับใจ เธอร้องเพลงอย่างเต็มพลัง ด้วยเพลงที่มีเนื้อหาคิดถึงพ่อ โดยมีเนื้อส่วนที่เป็นท่อนสร้อยทำนองว่า

"มีฟ้าจึงมีดิน มีดินจึงมีบ้าน
มีบ้านจึงมีพ่อ มีพ่อจึงมีลูก"

ขณะที่ฉายภาพการแสดงคอนเสิร์ตที่ยิ่งใหญ่ ก็สลับกับภาพพ่อที่อยู่บ้านใหม่หลังใหญ่ เริ่มไอรุนแรง ลุกขึ้น แล้วล้มลง ต้องไปโรงพยาบาล เข้าห้องไอซียู มีผู้พยายามแจ้งหา "ลูกสาว" ที่งานคอนเสิร์ต แต่ผู้จัดการก็กันไว้ เกรงว่าจะทำให้เธอแสดงไม่ได้ และเมื่อการแสดงจบลง "ลูกสาว" วิ่งไปที่โรงพยาบาล ก็สายไปเสียแล้ว ไม่ทันได้ดูใจคุณพ่อ

เมื่อผมชมภาพยนตร์เรื่องนี้จบ ผมบอกกับตัวผมเองว่า** "กตัญญู...รอไม่ได้" มีโอกาสแล้ว ให้แสดงความกตัญญูเลย มีหลักธรรมที่บัญญัติเอาไว้ว่า "จงเคารพบิดามารดาของท่าน แล้วท่านจะไปดีมาดีในแผ่นดินโลก"**ในโอกาสนี้ ผมขอระลึกถึงพ่อแม่ผู้มีพระคุณในครอบครัวของผม พี่น้องผมอยู่ในครอบครัวที่คุณพ่อปิยะ และคุณแม่วรรณภาต่อสู้ชีวิตมาอย่างเข้มแข็ง เราตั้งใจเรียนกันทุกคน สอบเทียบข้ามชั้นกันทุกคน เพื่อจะได้ช่วยพ่อแม่ประหยัดค่าเล่าเรียน แล้วเราก็เข้าแพทย์ฯจุฬาฯ ได้ 2 คน วิศวฯจุฬาฯ ได้ 3 คน ปีที่ผมสอบเข้ามหาวิทยาลัย ได้ที่ 1 ของประเทศไทย เป็นช่วงก่อนที่จะสูญเสียคุณพ่อไปไม่กี่เดือน แม้เราจะเสียใจ คิดถึงคุณพ่อ แต่เรายังได้มีโอกาสรู้สึกดี ที่ระหว่างที่ท่านยังอยู่ เราก็ได้ทำตัวเป็นเด็กดี รัก เคารพ และเชื่อฟังพ่อแม่ และมีโอกาสทำให้พ่อแม่ได้ภาคภูมิใจในความสำเร็จ ก่อนที่คุณพ่อจะเสียไป และเราก็ยังรักษาความรักความกตัญญูที่มีต่อคุณแม่อย่างดีตลอดมาจนถึงปัจจุบัน แม่และลูกทั้งห้า ก็รักและเป็นกำลังใจให้กันและกันเสมอมาหนังสือเรื่อง "The Purpose Driven Life" โดย Rick Warren ได้เขียนว่า LOVE เขียนสะกดว่า "T-I-M-E" อย่าลืมนะครับว่า "ความกตัญญูนั้นรอไม่ได้"

วันนี้ **เราได้แสดงความกตัญญูต่อพ่อแม่ และผู้มีพระคุณของเราแล้วหรือยัง?ผู้กตัญญู รู้คุณบิดามารดา จะไปดีมาดีในแผ่นดินโลก และถ้าคนไทยทุกคน รู้คุณแผ่นดิน ช่วยกันทำให้แผ่นดินไทยสูงขึ้น** อยู่ในทางสว่าง รักและจริงใจต่อกัน ส่งเสริมความรักความสามัคคี และความถูกต้องชอบธรรม แผ่นดินไทยก็จะรุ่งเรือง สงบสุข และทุกคนที่ทำเช่นนั้น ก็จะไปดีมาดีในแผ่นดินนี้ครับ

มนตรี ศรไพศาล
(montree4life@yahoo.com)
กำลังโหลดความคิดเห็น