ก.ล.ต.ชะลอแผนออกกองทุนตราสารหนี้เกรดต่ำ เหตุภาวะไม่เอื้อจาปัญหาซับไพรม์ที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกชะลอ ชี้หากภาวะเอื้อพร้อมคลอดแน่นอน "ประเวช " ชี้ เดิมต้องการสนับสนุนเพื่อต้องการเพิ่มสินค้าและเอื้อบจ.ขนาดกลาง-เล็กมีทางเลือกระดมทุนมากขึ้น
นายประเวช องอาจสิทธิกุล ผู้ช่วยเลขาธิการอาวุโส สายงานกำกับดูแล ผู้ประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เปิดเผยว่า ขณะนี้ก.ล.ต.ได้มีการชะลอแผนที่จะมีการสนับสนุนให้นักลงทุนสถาบันเข้ามาลงทุนในตราสารหนี้ที่มีอันดับความน่าเชื่อถือต่ำกว่าระดับที่สามารถลงทุนได้(Non-Investment Grade)หรือจังค์บอนด์ได้ เนื่องจาก เกิดปัญหาวิกฤตซับไพร์มในสหรัฐอเมริกา
ทั้งนี้ แม้ว่าผลกระทบที่เกิดขึ้นจะไม่ได้ส่งผลต่อตลาดตราสารหนี้ไทยโดยตรง เพราะมีธนาคารพาณิชย์เพียง 4 แห่งเท่านั้นที่เข้าไปลงทุน แต่เห็นว่าปัญหาดังกล่าวได้ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกมีการชะลอตัว รวมถึงบรรยากาศการลงทุนทำให้ก.ล.ต. จึงตัดสินใจชะลอการพิจารณาอนุมัติให้นักลงทุนเข้าลงทุนในจังค์
บอนด์ได้ออกไปก่อน
"ผลของซับไพร์มไม่ได้ส่งผลกับเราก็จริง แต่เป็นเพราะช่วงจังหวะเวลาไม่เอื้อมากกว่า บอร์ด ก.ล.ต.จึงเห็นควรว่า ชะลอออกไปก่อนน่าจะดีกว่า เมื่อปัญหาซับไพร์มแผ่วลงแล้วค่อยมาว่ากันใหม่ และขณะนี้มีตราสารหนี้ที่เกรดดี ๆ น่าเข้าไปลงทุนกว่า " นายประเวช กล่าว
สำหรับในต่างประเทศนั้นการลงทุนในจังค์บอนด์นั้นมีอยู่แล้ว และถือเป็นเรื่องปกติธรรมดา แต่ในประเทศไทย ยังไม่มีการลงทุนในรูปแบบนี้ ซึ่งก.ล.ต.ต้องการจะสร้างตลาดการลงทุนระดับนี้ขึ้นมา เพื่อให้มีระดับการลงทุนที่หลากหลาย ไม่ได้กระจุกตัวเฉพาะการลงทุนในตราสารระดับอินเวสท์เม้นท์เกรดเท่านั้นและยังเป็นการเพิ่มจำนวนและประเภทสินค้าในฝั่งของผู้ลงทุนแล้ว
นอกจากนี้ ยังต้องการให้เป็นแหล่งระดมทุนของบริษัทขนาดกลางและเล็กอีกด้วย ซึ่งปัจจุบันมีบริษัทเหล่านี้จำนวนมากและมีคุณภาพที่ดี แต่ก็ไม่สามารถที่จะมีการระดมทุนได้จากที่ได้รับการจัดอันดับที่ต่ำ เพราะ บริษัทที่จะออกตราสารหนี้จะเป็นบริษัทใหญ่เท่านั้นถึงจะได้รับการจัดอันดับที่ดีน่าลงทุน ดังนั้นเมื่อบริษัทเล็กต้องการที่จะระดมทุน โดยการออกตราสารหนี้ก็จะต้องออกไปลงทุนต่างประเทศ โดยหากในประเทศไทยเปิดให้มีการออกตราสารหนี้ที่มีอันดับการน่าลงทุนที่ต่ำได้ก็จะไม่ต้องออกไประดมทุนในต่างประเทศ
อนึ่ง ก่อนหน้านี้ นายธีระชัย ภูวนารถนรานุบาล เลขาธิการ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เปิดเผยว่า สำนักงานก.ล.ต.ได้มีการเสนอแนวทางในการพัฒนาตลาดตราสารหนี้ไทย โดยการให้บริษัทขนาดเล็กและขนาดกลางสามารถออกตราสารหนี้ที่ไม่มีการจัดอันดับความน่าเชื่อถือ (Non-Investment Grade) และให้กองทุนเข้ามาจัดตั้งเป็นกองทุนเพื่อเสนอขายให้กับนักลงทุนรายย่อย
ทั้งนี้ ก.ล.ต. จะมีการหารือกับบริษัทจัดการกองทุน (บลจ.)และจะมีการสำรวจความสนใจของนักลงทุนที่จะเข้ามาลงทุนในตราสารหนี้ดังกล่าวที่มีความเสี่ยงสูง แต่ก็จะมีผลตอบแทนที่สูงนั้นมากน้อยแค่ไหน โดยขณะนี้อยู่ในกระบวนการทำประชาพิจารณ์ (เฮียร์ริ่ง ) ถึงวันที่ 31 กรกฏาคมนี้ และจะต้องมีการแก้ไขกฎเกณฑ์ต่างๆ ซึ่งหากกฎเกณฑ์เอื้อให้มีการออกตราสารสารหนี้ ที่ไม่มีการจัดอันดับความน่าเชื่อถือได้จะส่งผลดีให้บริษัทขนาดเล็กมีการออกตราสารหนี้ได้ จากปัจจุบันที่มีการจำกัดให้เฉพาะบริษัทขนาดใหญ่มีการออกได้เท่านั้น
"หากมีการอนุญาตให้มีการออก Non-Investment Grade ได้ก็อาจจะมีการอนุญาตให้เงินที่ไปลงทุนในต่างประเทศสามารถลงทุนในตรสารหนี้ที่มีความเสี่ยงสูงหรือเฮจด์ฟันด์ได้เช่นกัน " นายธีระชัย กล่าว
นายประเวช องอาจสิทธิกุล ผู้ช่วยเลขาธิการอาวุโส สายงานกำกับดูแล ผู้ประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เปิดเผยว่า ขณะนี้ก.ล.ต.ได้มีการชะลอแผนที่จะมีการสนับสนุนให้นักลงทุนสถาบันเข้ามาลงทุนในตราสารหนี้ที่มีอันดับความน่าเชื่อถือต่ำกว่าระดับที่สามารถลงทุนได้(Non-Investment Grade)หรือจังค์บอนด์ได้ เนื่องจาก เกิดปัญหาวิกฤตซับไพร์มในสหรัฐอเมริกา
ทั้งนี้ แม้ว่าผลกระทบที่เกิดขึ้นจะไม่ได้ส่งผลต่อตลาดตราสารหนี้ไทยโดยตรง เพราะมีธนาคารพาณิชย์เพียง 4 แห่งเท่านั้นที่เข้าไปลงทุน แต่เห็นว่าปัญหาดังกล่าวได้ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกมีการชะลอตัว รวมถึงบรรยากาศการลงทุนทำให้ก.ล.ต. จึงตัดสินใจชะลอการพิจารณาอนุมัติให้นักลงทุนเข้าลงทุนในจังค์
บอนด์ได้ออกไปก่อน
"ผลของซับไพร์มไม่ได้ส่งผลกับเราก็จริง แต่เป็นเพราะช่วงจังหวะเวลาไม่เอื้อมากกว่า บอร์ด ก.ล.ต.จึงเห็นควรว่า ชะลอออกไปก่อนน่าจะดีกว่า เมื่อปัญหาซับไพร์มแผ่วลงแล้วค่อยมาว่ากันใหม่ และขณะนี้มีตราสารหนี้ที่เกรดดี ๆ น่าเข้าไปลงทุนกว่า " นายประเวช กล่าว
สำหรับในต่างประเทศนั้นการลงทุนในจังค์บอนด์นั้นมีอยู่แล้ว และถือเป็นเรื่องปกติธรรมดา แต่ในประเทศไทย ยังไม่มีการลงทุนในรูปแบบนี้ ซึ่งก.ล.ต.ต้องการจะสร้างตลาดการลงทุนระดับนี้ขึ้นมา เพื่อให้มีระดับการลงทุนที่หลากหลาย ไม่ได้กระจุกตัวเฉพาะการลงทุนในตราสารระดับอินเวสท์เม้นท์เกรดเท่านั้นและยังเป็นการเพิ่มจำนวนและประเภทสินค้าในฝั่งของผู้ลงทุนแล้ว
นอกจากนี้ ยังต้องการให้เป็นแหล่งระดมทุนของบริษัทขนาดกลางและเล็กอีกด้วย ซึ่งปัจจุบันมีบริษัทเหล่านี้จำนวนมากและมีคุณภาพที่ดี แต่ก็ไม่สามารถที่จะมีการระดมทุนได้จากที่ได้รับการจัดอันดับที่ต่ำ เพราะ บริษัทที่จะออกตราสารหนี้จะเป็นบริษัทใหญ่เท่านั้นถึงจะได้รับการจัดอันดับที่ดีน่าลงทุน ดังนั้นเมื่อบริษัทเล็กต้องการที่จะระดมทุน โดยการออกตราสารหนี้ก็จะต้องออกไปลงทุนต่างประเทศ โดยหากในประเทศไทยเปิดให้มีการออกตราสารหนี้ที่มีอันดับการน่าลงทุนที่ต่ำได้ก็จะไม่ต้องออกไประดมทุนในต่างประเทศ
อนึ่ง ก่อนหน้านี้ นายธีระชัย ภูวนารถนรานุบาล เลขาธิการ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เปิดเผยว่า สำนักงานก.ล.ต.ได้มีการเสนอแนวทางในการพัฒนาตลาดตราสารหนี้ไทย โดยการให้บริษัทขนาดเล็กและขนาดกลางสามารถออกตราสารหนี้ที่ไม่มีการจัดอันดับความน่าเชื่อถือ (Non-Investment Grade) และให้กองทุนเข้ามาจัดตั้งเป็นกองทุนเพื่อเสนอขายให้กับนักลงทุนรายย่อย
ทั้งนี้ ก.ล.ต. จะมีการหารือกับบริษัทจัดการกองทุน (บลจ.)และจะมีการสำรวจความสนใจของนักลงทุนที่จะเข้ามาลงทุนในตราสารหนี้ดังกล่าวที่มีความเสี่ยงสูง แต่ก็จะมีผลตอบแทนที่สูงนั้นมากน้อยแค่ไหน โดยขณะนี้อยู่ในกระบวนการทำประชาพิจารณ์ (เฮียร์ริ่ง ) ถึงวันที่ 31 กรกฏาคมนี้ และจะต้องมีการแก้ไขกฎเกณฑ์ต่างๆ ซึ่งหากกฎเกณฑ์เอื้อให้มีการออกตราสารสารหนี้ ที่ไม่มีการจัดอันดับความน่าเชื่อถือได้จะส่งผลดีให้บริษัทขนาดเล็กมีการออกตราสารหนี้ได้ จากปัจจุบันที่มีการจำกัดให้เฉพาะบริษัทขนาดใหญ่มีการออกได้เท่านั้น
"หากมีการอนุญาตให้มีการออก Non-Investment Grade ได้ก็อาจจะมีการอนุญาตให้เงินที่ไปลงทุนในต่างประเทศสามารถลงทุนในตรสารหนี้ที่มีความเสี่ยงสูงหรือเฮจด์ฟันด์ได้เช่นกัน " นายธีระชัย กล่าว
