กบข.เผยผลตอบเเทนตั้งแต่จัดตั้งกองทุนเมื่อปี 40 สร้างยิลด์ให้กับสมาชิกกว่า 1.5 แสนล้านบาท " วิสิฐ "เเจงการจัดพอร์ตเน้นกระจายการลงทุน-ยึดหลักความมั่นคงของเงินต้น ให้สอดคล้องนโยบายการบริหารเงินของกองทุนบำนาญระดับโลก
นายวิสิฐ ตันติสุนทร เลขาธิการคณะกรรมการกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) เปิดเผยในโอกาสที่ กบข. ดำเนินงานครบรอบการดำเนินงาน 11 ปี ในวันที่ 27 มีนาคมว่าการเติบโตของกองทุนสู่การเป็นเสาหลักในการพัฒนาตลาดเงิน ตลาดทุนมาอย่างต่อเนื่องนั้น เนื่องจาก กบข. มีกรอบในการปฏิบัติงานที่ดี มีการบริหารกองทุนที่มีความโปร่งใส และยึดหลักธรรมาภิบาลในการลงทุนมาโดยตลอด อีกทั้งนโยบายในการลงทุนยังมีการจัดประ เภทสินทรัพย์การลงทุนอย่างเหมาะสมและปรับเปลี่ยนให้ตามสภาวะเศรษฐกิจเสมอ ซึ่งทำให้ กบข. มีการเติบโตอย่างยั่งยืน
“ ในช่วงที่เข้ามารับตำแหน่งเมื่อประมาณ 5-6 ปีที่แล้ว กบข. มีสินทรัพย์กว่า 1.1 แสนล้านบาท ซึ่งในปัจจุบันสินทรัพย์เพิ่มขึ้นมากกว่า 3.8 แสนล้านบาท ถือว่าเป็นการเติบโตของกองทุนอย่างรวดเร็วและต่อเนื่อง เพราะเฉลี่ยต่อปี กบข. จะมีเงินเข้ากองทุนที่เป็นเงินสะสมของสมาชิกเฉลี่ยประมาณปีละ 1.8 หมื่นล้านบาท สะท้อนให้เห็นว่าผลตอบแทนที่กองทุนสร้างผลประโยชน์ได้ตั้งแต่ที่จัดตั้งกองทุนที่ผ่านมาเฉลี่ยเท่ากับ 1.5 แสนล้านบาท” นายวิสิฐกล่าว
นายวิสิฐ กล่าวว่าในโอกาสที่ กบข.ดำเนินงานเข้าสู่ทศวรรษที่ 2 แม้จะมีการแก้ไข พระราชบัญญัติ กบข. เพื่อเปิดโอกาสให้สามารถนำเงินไปลงทุนต่างประเทศได้ในสัดส่วนถึงร้อยละ 25 แต่นโยบายของ กบข. ยังคงให้ความสำคัญกับการลงทุนในประเทศเป็นหลัก สอดคล้องกับหลักการจัดตั้งกบข. ที่พยายามเป็นเสาหลักในการพัฒนาตลาดตราสารหนี้ ตลาดทุนไทย และที่สำคัญ กบข.ให้ความสำคัญกับความมั่นคงของเงินต้นเป็นอันดับแรก และอันดับสองคือผลตอบแทนจากการลงทุน เนื่องจากเป็นเงินออมของข้าราชการสมาชิกเพื่อยามเกษียณ
อย่างไรก็ตาม การเพิ่มน้ำหนักการลงทุนในต่างประเทศ กบข. ยังคงติดตามสถานการณ์สภาวะเศรษฐกิจอย่างใกล้ชิด เพื่อป้องกันผลกระทบที่เกิดขึ้นจากปัญหาซับไพรม์ในสหรัฐ ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงกับสถาบันการเงินและเศรษฐกิจโลก ที่ทำให้ตลาดทุนและตลาดเงินมีความผันผวน ดังนั้น กบข. ยังไม่เร่งภาคการลงทุนต่างประเทศในขณะนี้ และมีนโยบายเครื่องมือป้องกันความเสี่ยงของค่าเงิน เพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบจากการขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน เพราะอัตราค่าเงินบาทเมื่อเทียบกับดอลลาร์ยังมีความผันผวน
ทั้งนี้สัดส่วนในการลงทุนของกบข.คือตราสารหนี้ในประเทศ 64.30% ตราสารทุนในประเทศ 13.33% ตราสารหนี้ต่างประเทศ 4.77% ตราสารทุนต่างประเทศ 8.85% กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ 3.96% และอีก4.79%ลงทุนทางเลือกอื่น
ก่อนหน้านี้นายวิสิฐ ได้เเถลงผลการดำเนินงานในปี2551ว่า กบข.ยังคงให้ความสำคัญกับรูปแบบการลงทุนให้เป็นไปตามนโยบายที่ได้กำหนดไว้ โดยยังคงเน้นที่การจัดสรรการลงทุนระยะยาว (Strategic Asset Allocation : SAA) เป็นสำคัญ รวมถึงเน้นกระจายการลงทุนให้มีความหลากหลายและกระจายการลงทุนไปต่างประเทศมากขึ้นเพื่อกระจายความเสี่ยง ขณะที่การจัดสรรสัดส่วนการลงทุนตราสารทุนในประเทศนั้น กบข.จะยังคงสัดส่วนไว้ที่ 12% ของเงินกองทุน โดยเน้นการลงทุนในหุ้นที่มีพื้นฐานดี และมีการเลือกอุตสาหกรรม (Industry) และรายหลักทรัพย์ (Stock) อย่างระมัดระวัง
สำหรับการลงทุนในตราสารหนี้นั้น กบข.จึงมีนโยบายลดระยะเวลาการถือครองตราสารหนี้ลง โดยจะปรับลดสัดส่วนการถือครองพันธบัตรระยะยาว และหันมาถือครองตราสารหนี้ระยะสั้นอายุ 3-4 ปีแทน เพื่อให้ผลักดันผลตอบแทนให้สูงขึ้น เนื่องจากจากแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยในปีนี้ที่คาดว่าจะอยู่ในช่วงขาขึ้น
ขณะที่การลงทุนในต่างประเทศ กบข.ได้เตรียมแผนที่จะเพิ่มน้ำหนักลงทุนในตราสารทุนโลก เพื่อกระจายความเสี่ยงไปยังตลาดอื่นๆ เช่น ตลาดหุ้นเอเชีย เพราะมีความผันผวนน้อยกว่าตลาดหุ้นไทย รวมทั้งคาดการณ์ว่าตลาดการเงินภูมิภาคเอเชียที่จะได้รับผลกระทบจากปัญหาสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ด้อยคุณภาพ (ซับไพรม์) น้อยกว่าตลาดพัฒนาแล้ว เช่น สหรัฐอเมริกา เเละการลงทุนในหลักทรัพย์ประเภทอื่นๆ เพื่อป้องกันปัญหาเงินเฟ้อนั้น กบข.ได้มีการเตรียมการที่จะลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ทั้งในประเทศและต่างประเทศรวมทั้งหลักทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนมั่นคงในระยะยาว
อย่างไรก็ตามเม็ดเงินลงทุนในต่างประเทศของกบข.ในปีนี้ จะอยู่ 80,000 ล้านบาท ตามสัดส่วนการลงทุนที่ได้รับการอนุมัติเพิ่มขึ้นเป็น 25% หรือประมาณ 30,000 ล้านบาท จากเดิมที่มีอยู่ 50,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นยอดเงินลงทุนในสัดส่วนการลงทุนในต่างประเทศเดิม ส่วนอัตราผลตอบแทนคาดว่าจะอยู่ทีประมาณ 8-10% อย่างไรก็ตาม ในปีนี้กบข. ประมาณการผลตอบแทนโดยรวมไว้ที่ 7-10%
นายวิสิฐ ตันติสุนทร เลขาธิการคณะกรรมการกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) เปิดเผยในโอกาสที่ กบข. ดำเนินงานครบรอบการดำเนินงาน 11 ปี ในวันที่ 27 มีนาคมว่าการเติบโตของกองทุนสู่การเป็นเสาหลักในการพัฒนาตลาดเงิน ตลาดทุนมาอย่างต่อเนื่องนั้น เนื่องจาก กบข. มีกรอบในการปฏิบัติงานที่ดี มีการบริหารกองทุนที่มีความโปร่งใส และยึดหลักธรรมาภิบาลในการลงทุนมาโดยตลอด อีกทั้งนโยบายในการลงทุนยังมีการจัดประ เภทสินทรัพย์การลงทุนอย่างเหมาะสมและปรับเปลี่ยนให้ตามสภาวะเศรษฐกิจเสมอ ซึ่งทำให้ กบข. มีการเติบโตอย่างยั่งยืน
“ ในช่วงที่เข้ามารับตำแหน่งเมื่อประมาณ 5-6 ปีที่แล้ว กบข. มีสินทรัพย์กว่า 1.1 แสนล้านบาท ซึ่งในปัจจุบันสินทรัพย์เพิ่มขึ้นมากกว่า 3.8 แสนล้านบาท ถือว่าเป็นการเติบโตของกองทุนอย่างรวดเร็วและต่อเนื่อง เพราะเฉลี่ยต่อปี กบข. จะมีเงินเข้ากองทุนที่เป็นเงินสะสมของสมาชิกเฉลี่ยประมาณปีละ 1.8 หมื่นล้านบาท สะท้อนให้เห็นว่าผลตอบแทนที่กองทุนสร้างผลประโยชน์ได้ตั้งแต่ที่จัดตั้งกองทุนที่ผ่านมาเฉลี่ยเท่ากับ 1.5 แสนล้านบาท” นายวิสิฐกล่าว
นายวิสิฐ กล่าวว่าในโอกาสที่ กบข.ดำเนินงานเข้าสู่ทศวรรษที่ 2 แม้จะมีการแก้ไข พระราชบัญญัติ กบข. เพื่อเปิดโอกาสให้สามารถนำเงินไปลงทุนต่างประเทศได้ในสัดส่วนถึงร้อยละ 25 แต่นโยบายของ กบข. ยังคงให้ความสำคัญกับการลงทุนในประเทศเป็นหลัก สอดคล้องกับหลักการจัดตั้งกบข. ที่พยายามเป็นเสาหลักในการพัฒนาตลาดตราสารหนี้ ตลาดทุนไทย และที่สำคัญ กบข.ให้ความสำคัญกับความมั่นคงของเงินต้นเป็นอันดับแรก และอันดับสองคือผลตอบแทนจากการลงทุน เนื่องจากเป็นเงินออมของข้าราชการสมาชิกเพื่อยามเกษียณ
อย่างไรก็ตาม การเพิ่มน้ำหนักการลงทุนในต่างประเทศ กบข. ยังคงติดตามสถานการณ์สภาวะเศรษฐกิจอย่างใกล้ชิด เพื่อป้องกันผลกระทบที่เกิดขึ้นจากปัญหาซับไพรม์ในสหรัฐ ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงกับสถาบันการเงินและเศรษฐกิจโลก ที่ทำให้ตลาดทุนและตลาดเงินมีความผันผวน ดังนั้น กบข. ยังไม่เร่งภาคการลงทุนต่างประเทศในขณะนี้ และมีนโยบายเครื่องมือป้องกันความเสี่ยงของค่าเงิน เพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบจากการขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน เพราะอัตราค่าเงินบาทเมื่อเทียบกับดอลลาร์ยังมีความผันผวน
ทั้งนี้สัดส่วนในการลงทุนของกบข.คือตราสารหนี้ในประเทศ 64.30% ตราสารทุนในประเทศ 13.33% ตราสารหนี้ต่างประเทศ 4.77% ตราสารทุนต่างประเทศ 8.85% กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ 3.96% และอีก4.79%ลงทุนทางเลือกอื่น
ก่อนหน้านี้นายวิสิฐ ได้เเถลงผลการดำเนินงานในปี2551ว่า กบข.ยังคงให้ความสำคัญกับรูปแบบการลงทุนให้เป็นไปตามนโยบายที่ได้กำหนดไว้ โดยยังคงเน้นที่การจัดสรรการลงทุนระยะยาว (Strategic Asset Allocation : SAA) เป็นสำคัญ รวมถึงเน้นกระจายการลงทุนให้มีความหลากหลายและกระจายการลงทุนไปต่างประเทศมากขึ้นเพื่อกระจายความเสี่ยง ขณะที่การจัดสรรสัดส่วนการลงทุนตราสารทุนในประเทศนั้น กบข.จะยังคงสัดส่วนไว้ที่ 12% ของเงินกองทุน โดยเน้นการลงทุนในหุ้นที่มีพื้นฐานดี และมีการเลือกอุตสาหกรรม (Industry) และรายหลักทรัพย์ (Stock) อย่างระมัดระวัง
สำหรับการลงทุนในตราสารหนี้นั้น กบข.จึงมีนโยบายลดระยะเวลาการถือครองตราสารหนี้ลง โดยจะปรับลดสัดส่วนการถือครองพันธบัตรระยะยาว และหันมาถือครองตราสารหนี้ระยะสั้นอายุ 3-4 ปีแทน เพื่อให้ผลักดันผลตอบแทนให้สูงขึ้น เนื่องจากจากแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยในปีนี้ที่คาดว่าจะอยู่ในช่วงขาขึ้น
ขณะที่การลงทุนในต่างประเทศ กบข.ได้เตรียมแผนที่จะเพิ่มน้ำหนักลงทุนในตราสารทุนโลก เพื่อกระจายความเสี่ยงไปยังตลาดอื่นๆ เช่น ตลาดหุ้นเอเชีย เพราะมีความผันผวนน้อยกว่าตลาดหุ้นไทย รวมทั้งคาดการณ์ว่าตลาดการเงินภูมิภาคเอเชียที่จะได้รับผลกระทบจากปัญหาสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ด้อยคุณภาพ (ซับไพรม์) น้อยกว่าตลาดพัฒนาแล้ว เช่น สหรัฐอเมริกา เเละการลงทุนในหลักทรัพย์ประเภทอื่นๆ เพื่อป้องกันปัญหาเงินเฟ้อนั้น กบข.ได้มีการเตรียมการที่จะลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ทั้งในประเทศและต่างประเทศรวมทั้งหลักทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนมั่นคงในระยะยาว
อย่างไรก็ตามเม็ดเงินลงทุนในต่างประเทศของกบข.ในปีนี้ จะอยู่ 80,000 ล้านบาท ตามสัดส่วนการลงทุนที่ได้รับการอนุมัติเพิ่มขึ้นเป็น 25% หรือประมาณ 30,000 ล้านบาท จากเดิมที่มีอยู่ 50,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นยอดเงินลงทุนในสัดส่วนการลงทุนในต่างประเทศเดิม ส่วนอัตราผลตอบแทนคาดว่าจะอยู่ทีประมาณ 8-10% อย่างไรก็ตาม ในปีนี้กบข. ประมาณการผลตอบแทนโดยรวมไว้ที่ 7-10%