xs
xsm
sm
md
lg

การเมือง-ตปท.กดดันตลาดหุ้น

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ตลาดหุ้นไทยผันผวน หลังได้รับแรงกดดันจากปัจจัยด้านการเมืองที่ร้อนแรง บวกกับสถานการณ์ต่างประเทศ โดยเฉพาะเศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังทรุดตัว ด้านโบรกเกอร์ หวังแรงหนุนจากผลประกอบการกลุ่มธนาคารพาณิชย์ที่คาดว่าจะออกมาดี และราคาน้ำมันที่ทรงตัวอยู่ในระดับสูง ช่วยผลักดันหุ้นกลุ่มแบงก์-พลังงาน พร้อมลุ้นแบงก์ชาติลดดอกเบี้ยอาร์พี เพื่อสร้างบรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นไทยให้ดีขึ้น ขณะที่สำนักงาน ก.ล.ต. ไฟเขียวเอสโซ่ขายไอพีโอ 773.33 ล้านหุ้น
ความเคลื่อนไหวตลาดหุ้นไทยสัปดาห์นี้ ยังคงถูกกดดันจากสถานการณ์การเมืองในประเทศ ทั้งความคืบหน้าการพิจารณายุบพรรคชาติไทยและพรรคมัชฌิมาธิปไตย ความเคลื่อนไหวของกลุ่มการเมืองต่างๆ บวกกับปัจจัยต่างประเทศ โดยเฉพาะการประกาศการประกาศตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่คาดว่าจะไม่ดีนัก อาทิ ตัวเลขการจ้างงาน ดัชนีภาคการผลิต และดัชนีภาคการบริการ อาจทำให้ตลาดหุ้นทั่วโลกรวมถึงตลาดหุ้นไทยเคลื่อนไหวอยู่ในแดนลบ

อย่างไรก็ตาม ตลาดหุ้นไทยอาจจะมีปัจจัยบวกจากการเข้ามาเก็งกำไรในหุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์ที่คาดว่าจะเริ่มทยอยประกาศออกในช่วงครึ่งแรกของเดือนเมษายนนี้ โดยหลายฝ่ายคาดการณ์ว่า ผลประกอบการกลุ่มธนาคารพาณิชน์น่าจะปรับตัวดี รวมทั้งราคาน้ำมันที่ทรงตัวอยู่ในระดับสูงอาจจะช่วยสนับสนุนหุ้นกลุ่มพลังงาน

นายโกสินทร์ ศรีไพบูลย์ ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยสัปดาห์นี้จะเคลื่อนไหวอย่างผันผวนตามปัจจัยหลัก 3 ประการ คือ ประการแรก การประกาศตัวเลขดุลการค้าเดือนกุมภาพันธ์ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) หากตัวเลขออกมาขาดดุลเหมือนที่กระทรวงพาณิชย์ได้ประกาศออกมาก่อนหน้านี้ จะส่งผลต่อบรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นได้

ประการที่ 2. แรงกดดันจากตลาดหุ้นต่างประเทศ โดยเฉพาะตลาดหุ้นดาวโจนส์ ที่จะถูกกดดันจากตัวเลขเศรษฐกิจที่จะมีการประกาศออกมาในสัปดาห์นี้ ซึ่งจะสะท้อนภาพเศรษฐกิจสหรัฐฯ โดยมีตัวเลขที่สำคัญ คือ ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตร ดัชนีภาคการผลิตกับดัชนีภาคการบริการของ ISM ยอดสั่งซื้อของโรงงาน และค่าใช้จ่ายด้านการก่อสร้าง ซึ่งนักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าตัวเลขต่างๆ จะออกมาไม่ดีนัก
และประการสุดท้าย ปัจจัยการเมืองในประเทศ ในวันที่ 2 เมษายนนี้ คณะกรรมการเลือกตั้ง (กกต.) จะประชุมเพื่อพิจารณากรณียุบพรรคชาติไทยและมัชฌิมาธิปไตย ว่าจะส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาหรือไม่ และในวันที่ 3 เมษายนนี้ จะมีความคืบหน้าเกี่ยวกับคดีซุกหุ้นบริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SC ว่าอัยการพิเศษจะสั่งฟ้องหรือไม่ ซึ่งคงทำให้นักลงทุนบางส่วนชะลอการลงทุนเพื่อดูความชัดเจนก่อน รวมถึงความเคลื่อนไหวของกลุ่มการเมืองต่างๆ และท่าทีการแก้ไขรัฐธรรมนูญของรัฐบาล

"ตลาดหุ้นสัปดาห์นี้จะยังคงขึ้นลงผันผวน มีกรอบแนวรับที่ 810-815 จุด กรอบแนวต้านที่ 835-840 จุด แต่จะมีแรงหนุนจากหุ้นกลุ่มพลังงานและแบงก์ ที่คาดว่ากำไรกลุ่มแบงก์จะออกมาดี ขณะที่กลุ่มพลังงานจะได้ผลดีจากราคาน้ำมันที่ทรงตัวสูงอยู่ จึงแนะนำให้ซื้อหุ้น SCB และ KBANK เพื่อรับเงินปันผลได้"

นายอภิสิทธิ์ ลิมศุภนาค ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บล.บีฟิท กล่าวว่า ตลาดหุ้นสัปดาห์นี้จะแกว่งตัวในกรอบแคบๆ ไม่รุนแรงมากนัก เนื่องจากยังไม่มีประเด็นสำคัญที่ทำให้ตลาดเปลี่ยนแปลงขึ้นลงแรงๆ โดยปัจจัยในประเทศที่ต้องติดตามคงเป็นการประชุมของ กกต.ในวันที่ 2 เมษายน เพื่อพิจารณาส่งเรื่องยุบพรรคชาติไทยและพรรคมัชฌิมาธิปไตยให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณายุบพรรคต่อไป แต่คาดว่ายังไม่ได้ข้อสรุปและต้องใช้เวลาอีกประมาณ 1-2 สัปดาห์ ส่วนปัจจัยต่างประเทศจะเป็นประเด็นตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ซึ่งที่สำคัญ คือ ตัวเลขการจ้างงานที่คาดว่าจะลดลง และในวันที่ 2 เมษายนนี้ นายเบน เบอร์นันเก้ ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จะแถลงภาพรวมเศรษฐกิจสหรัฐฯ กับสภาคองเกรส โดยต้องรอดูว่าจะมีการส่งสัญญาณอะไรออกมาหรือไม่

ทั้งนี้ คาดว่าดัชนีจะเคลื่อนไหวในกรอบ 810-830 จุด โดยครึ่งเดือนแรกของเดือนเมษายนตลาดหุ้นไทยมีโอกาสปรับตัวบวกได้เล็กน้อย โดยมีปัจจัยบวกมาจากผลประกอบการกลุ่มธนาคาร และดาดการณ์คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จะปรับลดดอกเบี้ยนโยบายลง ส่วนช่วงครึ่งเดือนหลังตลาดหุ้นไทยคงจะทรงตัวหรือปรับลดลง เพราะขาดปัจจัยบวกที่ชัดเจน และตลาดอาจได้รับความกดดันจากผลประกอบการของบริษัทในสหรัฐฯ ที่คาดว่าจะออกมาไม่ดี

นายกมลชัย พลอินทวงษ์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ทรีนีตี้ กล่าวถึง แนวโน้มทางเทคนิคตลาดหุ้นไทยวันนี้มีโอกาสปรับตัวขึ้น หลังจากเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาดัชนีปิดเหนือแนวต้านสำคัญ 820 จุดได้ แต่ตลอดทั้งสัปดาห์จะเคลื่อนไหวในลักษณะการแกว่งตัวเพื่อรอปัจจัยบวกใหม่ฯ เช่น การประชุมของ กนง. ในวันที่ 9 เมษายน ที่คาดว่าจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.25% เพื่อลดส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยของไทยกับสหรัฐฯ

ขณะเดียวกันยังต้องติดตามความเคลื่อนไหวตลาดหุ้นต่างประเทศ และประเด็นความเสี่ยงทางการเมือง เนื่องจากอาจส่งผลต่อบรรยากาศลงทุน ด้านกลยุทธ์การลงทุนแนะนำขายทำกำไรที่บริเวณแนวต้าน 833 จุด โดยมีแนวรับที่ 820 จุด และแนวต้านที่ 833 จุด

ก.ล.ต.ไฟเขียวเอสโซ่ขาย 773.33 ล.หุ้น

รายงานจากสำนักคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) แจ้งว่า สำนักงานก.ล.ต.ได้มีการอนุมัติแบบแสดงรายการข้อมูล (ไฟลิ่ง) ของบริษัท เอสโซ่ จำกัด (มหาชน) เมื่อวันที่ 27 มีนาคม 2551 หลังจากที่ยื่นไฟลิ่งมาตั้งแต่วันที่ 12 ธันวาคม 2550 ทำให้บริษัทสามารถที่จะเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนเป็นครั้งแรก (ไอพีโอ) จำนวน 773.33 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) หุ้นละ 4.93 บาท โดยการเสนอขายหุ้นครั้งนี้บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ภัทร จำกัด (มหาชน) หรือ PHATRA เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน ซึ่งจะเข้าระดมทุนในตลาดหุ้นไทยภายในไตรมาส 2/51 นี้
กำลังโหลดความคิดเห็น