เสียงสะท้อนจากนักลงทุนหลายฝ่ายกับการประกาศตัวเลขทางเศรษฐกิจของประเทศสหรัฐอเมริกา ที่มองกันว่าตกต่ำถึงขั้นเข้าสู่ภาวะถดถอยทำให้รัฐบาลต้องนำนโยบายต่างๆ ออกมากระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศอย่างต่อเนื่อง ซึ่งปัญหาปัญหาซับไพรม์อันเป็นเสมือนต้นเหตุของปัญหายังคงลุกลาม และต้องใช้เวลาอีกสักระยะในการแก้ปัญหา
ที่ผ่านมามาตรการด้านการเงินการคลังที่สหรัฐนำมาใช้ ยังคงไม่สามารถคลี่คลายปัญหาที่เกิดขึ้นได้ และหนึ่งในมาตรการดังกล่าวที่เด่นชัดที่สุดคงจะหนี้ไม่พ้นการลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด)ซึ่งมีการปรับลดลงมาอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่เดือนกันยายนปีที่ผ่านมารวมกันแล้วถึงร้อยละ 2.25 โดยหลังจากนี้จะมีการประชุมของเฟดอีกครั้งในวันอังคารที่ 18 มีนาคม 2551 และคงจะเป็นอีกครั้งที่ทุกคนต้องจับตามองอย่างใกล้ชิด
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองแนวโน้มการปรับอัตราดอกเบี้ยของเฟดเอาไว้ว่า ในการประชุมในวันอังคารที่จะถึงนี้ คณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงิน (Federal Open Market Committee: FOMC) นอกจากจะใช้เครื่องมือทางการเงินต่างๆ เพื่อคลี่คลายปัญหาสภาพคล่องในตลาดการเงินแล้ว เฟดอาจยังมีความจำเป็นที่จะต้องปรับลดอัตราดอกเบี้ย Fed Funds ลงอีกร้อยละ 0.50-0.75 ในการประชุมครั้งนี้ เพื่อประคับประคองเศรษฐกิจสหรัฐฯให้รอดพ้นจากภาวะถดถอยที่รุนแรง โดยปัจจัยแวดล้อมที่ทำให้เฟดมีความจำเป็นที่จะต้องปรับลดอัตราดอกเบี้ยมีดังนี้
การตกต่ำลงของเศรษฐกิจสหรัฐฯที่ยังมีแนวโน้มดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง
นับจากการประชุมรอบก่อนหน้าเมื่อปลายเดือนมกราคมจนถึงปัจจุบัน การรายงานเครื่องชี้เศรษฐกิจสำคัญๆ ของสหรัฐฯ ยังคงบ่งชี้ถึงการชะลอตัวลงอย่างต่อเนื่อง อันเป็นผลเนื่องมาจากปัญหาในตลาดการเงินที่บั่นทอนความเชื่อมั่นต่อเศรษฐกิจโดยรวม ในขณะที่การด้อยค่าลงของมูลค่าสินทรัพย์ ราคาน้ำมันที่ปรับสูงขึ้น และการชะลอตัวของตลาดแรงงาน ได้ส่งผลกระทบต่อกำลังซื้อของผู้บริโภค ซึ่งถือเป็นกลจักรสำคัญที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจสหรัฐฯ
โดยการปรับตัวของเครื่องชี้เศรษฐกิจสหรัฐฯที่ยังไม่มีทีท่าว่าจะส่งสัญญาณถึงภาวะทรงตัวหรือการฟื้นตัวขึ้นอย่างชัดเจนของเศรษฐกิจสหรัฐฯ อาจบ่งชี้ว่า กว่าที่เศรษฐกิจสหรัฐฯจะสามารถพลิกฟื้นกลับมาขยายตัวได้อย่างต่อเนื่องอีกครั้งอาจจำเป็นต้องใช้เวลาในการเยียวยายาวนานถึงประมาณ 4-6 ไตรมาส เช่นเดียวกันกับเมื่อครั้งที่เศรษฐกิจสหรัฐฯเคยประสบกับภาวะถดถอยในอดีต (จากวิกฤต Saving & Loans ในช่วงต้นทศวรรษ 1980 และต้นทศวรรษ 1990 และวิกฤต Dot Com ในปี 2543-2544) ดังนั้น การดำเนินนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายมากขึ้นของเฟด คงจะยังมีความจำเป็นในการช่วยพยุงเศรษฐกิจสหรัฐฯไม่ให้ตกต่ำลงจนเข้าสู่ภาวะถดถอยที่รุนแรงโดยการปรับตัวของเครื่องชี้เศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่สำคัญในช่วงที่ผ่านมา ได้แก่
การจ้างงานนอกภาคการเกษตรในเดือนกุมภาพันธ์ 2551 ซึ่งเป็นการปรับลดตำแหน่งงานจำนวน 63,000 ตำแหน่งครั้งใหญ่สุดในรอบเกือบ 5 ปี และเป็นการลดลงติดต่อกันเป็นเดือนที่สอง หลังจากที่การจ้างงานได้ลดลง 22,000 ตำแหน่งในเดือนมกราคม ในขณะที่ ยอดการขอรับสวัสดิการการว่างงานต่อเนื่องรายสัปดาห์เองยังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น บ่งชี้ว่าตลาดแรงงานสหรัฐฯมีแนวโน้มอ่อนแออย่างต่อเนื่อง
ดัชนีภาคการผลิตและภาคการบริการของสถาบันจัดการด้านอุปทาน ในเดือนกุมภาพันธ์ 2551 ดัชนี ISM ทั้งสองมีระดับที่ต่ำกว่า 50 ซึ่งบ่งชี้ว่า ภาคการผลิตและภาคการบริการของสหรัฐฯกำลังประสบกับภาวะหดตัว
เครื่องชี้ภาคอสังหาริมทรัพย์ โดยยอดทำสัญญาซื้อบ้านที่รอปิดการขาย เดือนมกราคม 2551 ร่วงลงเป็นเดือนที่ 28 ติดต่อกัน ในขณะที่ ยอดขายบ้านใหม่ และยอดขายบ้านมือสอง เดือนมกราคม หดตัวลงต่อเนื่อง 26 เดือน และ 23 เดือน ตามลำดับ ส่วนราคาบ้านจัดทำโดย S&P/Case Shiller ในไตรมาส 4/2550 ร่วงลงมากสุดในรอบประวัติศาสตร์ 20 ปีของดัชนีดังกล่าว
ส่วนดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค จัดทำโดยรอยเตอร์และมหาวิทยาลัยมิชิแกน ร่วงลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบ 16 ปีในเดือนกุมภาพันธ์ 2551 เช่นเดียวกัน ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่รายงานโดยสถาบัน Conference Board ร่วงลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบ 5 ปีในเดือนกุมภาพันธ์ อีกทั้งล่าสุดตัวเลขยอดค้าปลีก เดือนกุมภาพันธ์ หดตัวลงร้อยละ 0.6 จากเดือนก่อน อ่อนแอกว่าการคาดการณ์ของตลาดที่คาดว่าจะขยายตัวร้อยละ 0.2 จากเดือนก่อน
ความเสี่ยงด้านเงินเฟ้ออาจไม่ใช่น้ำหนักหลักในระยะสั้นนี้
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า ถึงแม้ว่าตัวเลขอัตราเงินเฟ้อล่าสุดของสหรัฐฯจะมีระดับที่สูงกว่าร้อยละ 2.0 ซึ่งเกินขอบเขตที่เฟดรู้สึกว่าปกติ ขณะเดียวกัน ราคาน้ำมันตลาดโลกที่ยังคงปรับตัวในระดับสูงต่อเนื่อง รวมไปถึงการดำเนินนโยบายการเงินและการคลังแบบขยายตัว อาจจะสร้างแรงกดดันด้านเงินเฟ้อให้กับเศรษฐกิจสหรัฐฯในระยะข้างหน้า แต่จากความเสี่ยงด้านการขยายตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯที่น่าจะมีน้ำหนักมากกว่า โดยเฉพาะอย่างน้อยตลอดช่วงครึ่งแรกของปี 2551 ก็น่าที่จะทำให้เฟดยังต้องพิจารณาปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอีก เพื่อประคับประคองเศรษฐกิจไม่ให้ตกต่ำลงสู่ภาวะถดถอยที่รุนแรง ในขณะที่ แนวโน้มการชะลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ อาจเป็นปัจจัยที่ช่วยชะลอการพุ่งสูงขึ้นของอัตราเงินเฟ้อในอนาคตไว้ได้บ้าง
ตลาดคาดการณ์อย่างเต็มที่ถึงการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอีกของเฟด
สัญญาอัตราดอกเบี้ยล่วงหน้า (Interest Rates Futures) ล่าสุด ณ วันที่ 13 มีนาคม 2551 ที่รายงานโดย Bloomberg บ่งชี้ว่า ตลาดได้ปรับตัวรับการคาดการณ์ว่าเฟดอาจจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอีกถึงร้อยละ 0.75 จากร้อยละ 3.00 มาที่ร้อยละ 2.25 ในการประชุมวันที่ 18 มีนาคมนี้ด้วยความเป็นไปได้ประมาณร้อยละ 90 ซึ่งแม้ว่าตลาดจะให้โอกาสของการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงร้อยละ 0.75 ที่น้อยลง หลังจากที่เฟดประกาศมาตรการอัดฉีดสภาพคล่องเพิ่มเติมล่าสุดอีก 2 แสนล้านดอลลาร์ฯ เข้าสู่ตลาดการเงินเมื่อวันที่ 11 มีนาคมที่ผ่านมา แต่ถัดมาเพียง 1 วัน (12 มีนาคม) ตลาดก็กลับไม่มั่นใจถึงประสิทธิผลของมาตรการดังกล่าวว่าจะสามารถแก้ปัญหาที่เศรษฐกิจสหรัฐฯกำลังเผชิญอยู่ได้หรือไม่ ดังนั้น ตลาดจึงกลับมาคาดการณ์อย่างค่อนข้างเต็มที่อีกครั้งว่าเฟดคงจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอีกร้อยละ 0.75 ในการประชุมวันที่ 18 มีนาคม นอกจากนี้ ตลาดยังคาดการณ์ว่า เฟดอาจจำต้องปรับลดอัตราดอกเบี้ย Fed Funds ลงต่อเนื่องสู่ระดับต่ำกว่าร้อยละ 2.00 ภายในเดือนกันยายนนี้อีกด้วย
สรุป แม้ว่าความเสี่ยงด้านเงินเฟ้อจะยังคงเป็นประเด็นที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ให้ความสำคัญ โดยเฉพาะหากราคาน้ำมันตลาดโลกยังมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่ศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินว่า ในการประชุมตามวาระปกติเป็นรอบที่สองของปีในวันที่ 18 มีนาคม 2551 นี้ คณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินของเฟดคงจะเทน้ำหนักไปที่ความเสี่ยงด้านการขยายตัวของเศรษฐกิจเป็นหลักมากกว่า ในขณะที่ การดำเนินนโยบายการเงินและการคลังแบบผ่อนคลายอย่างต่อเนื่องของทางการสหรัฐฯ ผ่านการปรับลดอัตราดอกเบี้ย การออกมาตรการอัดฉีดสภาพคล่องต่างๆ มาตรการคืนภาษี และแผนการให้ความช่วยเหลือต่างๆ ก็ยังไม่ได้ปรากฏผลในการสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯได้อย่างชัดเจน ทำให้เฟดอาจยังมีความจำเป็นที่จะต้องปรับลดอัตราดอกเบี้ย Fed Funds ลงอีกอย่างน้อยร้อยละ 0.50 ในการประชุมรอบที่จะถึงนี้
บทวิจัยของศูนย์วิจัยกสิกรไทยเรื่องการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของเฟด เมื่อมองจากปัจจัยต่างๆ ที่กล่าวอ้างแล้ว การลดอัตราดอกเบี้ยเฟดในรอบนี้คงเกิดขึ้นได้ตามข้อมูล และเมื่อการตัดสินใจของเฟดออกมาในแนวทางนี้แล้ว สิ่งที่จะต้องจับตาเห็นจะเป็นทิศทางของอัตราดอกเบี้ยในประเทศไทย ซึ่งก่อนหน้านี้กนง.ยังมีทีท่าจะคงอัตราดอกเบี้ยเอาไว้ แต่หากอัตราดอกเบี้ยของเราที่ต่ำกว่าสหรัฐมีช่องว่างเพิ่มมากขึ้นแล้ว ปัจจัยของค่าเงินบาทเองคงเป็นเรื่องที่ต้องชั่งน้ำหนักระหว่างอัตราเงินเฟ้อว่า สิ่งไหนจะส่งผลกระทบในทางที่ดีมากกว่ากันในการประชุมของกนง.ในครั้งต่อไป