xs
xsm
sm
md
lg

ดาวโจนส์ทะยาน 420 จุด น้ำมันพุ่งขึ้น 3.74 ดอลล์ หลังเฟดหั่นดบ.เหลือ 2.25%

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์ก เมื่อคืนนี้ ปิดตลาดทะยานขึ้นกว่า 420 จุด นักลงทุนขานรับ "เฟด" ปรับลดอัตราดบ.ลง เหลือแค่ 2.25% พร้อมส่งสัญญาณ อาจปรับลดดอกเบี้ยลงอีก หากศก.สหรัฐยังเสี่ยงสูง นอกจากนี้ นักลงทุนยังตอบรับผลประกอบการที่แข็งแกร่งเกินคาดของโกลด์แมน แซคส์ และเลห์แมน บราเธอร์ส ขณะที่ราคาน้ำมันดิบตลาดนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้น 3.74 ดอลลาร์ อยู่ที่ระดับ 109.42 ดอลลาร์/บาเรล

วันนี้(19 มี.ค.) สำนักข่าวเอพีรายงานว่า ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กในสหรัฐ ปิดตลาดเมื่อคืนนี้ พุ่งขึ้นกว่า 420.41 จุด หรือ 3.51% สู่ระดับ 12,392.66 จุด ขณะที่ดัชนี S&P 500 ปิดเพิ่มขึ้น 54.14 จุด หรือ 4.24% แตะระดับ 1,330.74 จุด และดัชนี Nasdaq ปิดดีดขึ้น 91.25 จุด หรือ 4.19% แตะระดับ 2,268.26 จุด

ปริมาณการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กมีอยู่หนาแน่นถึง 1.95 พันล้านหุ้น มีจำนวนหุ้นบวกมากกว่าหุ้นลบในอัตราส่วน 7 ต่อ 1 ส่วนปริมาณการซื้อขายในตลาด Nasdaq มีอยู่ประมาณ 2.36 พันล้านหุ้น

คณะกรรมการกำหนดนโยบายของเฟดมีมติลดอัตราดอกเบี้ยประเภทระยะสั้น (fed funds rate) ลงอีก 0.75% สู่ระดับ 2.25% ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือน ธ.ค.2547 โดยมีเป้าหมายที่จะยับยั้งภาวะเศรษฐกิจถดถอยในสหรัฐ และคลี่คลายความผันผวนในตลาดการเงิน นอกจากนี้ เฟดยังได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยมาตรฐาน (discount rate) ลงอีก 0.75% สู่ระดับ 2.5%

แถลงการณ์ภายหลังการประชุมของเฟดระบุว่า "เฟด" เชื่อว่าการดำเนินการครั้งล่าสุด ซึ่งรวมถึงมาตรการอัดฉีดสภาพคล่องที่ได้ดำเนินการไปก่อนหน้านี้นั้น จะช่วยผลักดันเศรษฐกิจให้ขยายตัวในระดับปานกลางและช่วยบรรเทาความเสี่ยงที่มีต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจได้ อย่างไรก็ตาม ความเสี่ยงที่เศรษฐกิจจะเผชิญช่วงขาลงนั้น ยังคงมีอยู่ ซึ่งหากจำเป็นเฟดก็จะดำเนินการยับยั้งความเสี่ยงนั้นในเวลาที่เหมาะสมและทันท่วงที เพื่อผลักดันเศรษฐกิจสหรัฐให้ขยายตัวอย่างยั่งยืน ควบคู่ไปกับการรักษาเสถียรภาพด้านราคา

นายคริสเตียน เมเนแกทตี นักวิเคราะห์จากอาร์จีอี มอร์นิเตอร์ กล่าวว่า "ก่อนหน้านี้ นักลงทุนและนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าเฟดจะลดอัตราดอกเบี้ยลงถึง 1% แต่การที่เฟดส่งสัญญาณว่าจะลดอัตราดอกเบี้ยลงอีกและผลประกอบการที่แข็งแกร่งเกินคาดของเลห์แมน บราเธอร์ และโกลด์แมน แซคส์ ทำให้นักลงทุนไม่ได้ผิดหวังมากนักที่เฟดลดดอกเบี้ยลงเพียง 0.75%

นอกจากนี้ "เฟด" ยังจับตาดูตัวเลขเงินเฟ้ออย่างใกล้ชิด ซึ่งเรามั่นใจว่าตราบใดที่ราคาพลังงานและสินค้าโภคภัณฑ์ยังเคลื่อนไหวในระดับสูง สหรัฐก็จะยังคงเผชิญแรงกดดันด้านเงินเฟ้อต่อไป

สำนักข่าวเอพี ยังระบุว่า นักลงทุนขานรับโกลด์แมน แซคส์ ที่รายงานว่า กำไรสุทธิในไตรมาสแรกของปี 2551 อยู่ที่ 1.47 พันล้านดอลลาร์ หรือ 3.32 ดอลลาร์ต่อหุ้น เปรียบเทียบกับกำไร 3.15 พันล้าน หรือ 6.67 ดอลลาร์ต่อหุ้นในปีก่อนหน้านี้ ซึ่งตัวเลขที่มีการเปิดเผยล่าสุดนี้อยู่เหนือการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์จากโพลล์ของธอมสัน ไฟแนนเชียล ที่คาดว่ากำไรสุทธิของโกลด์แมน แซคส์ น่าจะอยู่ที่ 2.58 ดอลลาร์ต่อหุ้น

ขณะที่เลห์แมน บราเธอร์ส เปิดเผยว่า กำไรไตรมาสแรกของบริษัทมีอยู่ทั้งสิ้น 489 ล้านดอลลาร์ หรือ 81 เซนต์ต่อหุ้น เปรียบเทียบกับกำไรปีก่อนหน้านี้ที่ระดับ 1.15 พันล้านดอลลาร์ หรือ 1.96 ดอลลาร์ต่อหุ้น ซึ่งตัวเลขที่มีการเปิดเผยล่าสุดอยู่เหนือการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์จากโพลล์ธอมสัน ไฟแนนเชียล ที่คาดว่าน่าจะอยู่ที่ 72 เซนต์ต่อหุ้น

นายริชาร์ด ฟัลด์ ซีอีโอและประธานเลห์แมน บราเธอร์ส กล่าวว่า "บริษัทยังคงเผชิญความท้าทายด้านการดำเนินงาน ผลประกอบการของเราสะท้อนให้เห็นถึงคุณค่าของความตั้งใจที่จะดำเนินธุรกิจแบบกระจายความเสี่ยง และมุ่งเน้นในเรื่องการบริหารจัดการความเสี่ยง อีกทั้งให้ความสำคัญในการรักษาสถานะด้านทุนและสภาพคล่องให้แข็งแกร่งอยู่เสมอ ซึ่งกลยุทธ์ดังกล่าวทำให้เลห์แมน บราเธอร์สามารถสร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้าแม้ต้องเผขิญกับช่วงเวลาที่ยากลำบากและภาวะผันผวนในตลาด"

ทั้งนี้ หุ้นกลุ่มการเงินทะยานขึ้นแข็งแกร่ง โดยหุ้นเลห์แมน บราเธอร์ส พุ่งขึ้น 46% หุ้นโกลด์แมน แซคส์ ดีดขึ้น 16% และหุ้นแบร์ สเติร์นส์ ทะยานขึ้น 23%

**น้ำมันดิบพุ่ง 3.74 ดอลลาร์/บาเรล

สำนักข่าวเอพียังรายงานอีกว่า สัญญาน้ำมันดิบตลาด NYMEX (New York Mercantile Exchange) ส่งมอบเดือน เม.ย. ปิดพุ่งขึ้น 3.74 ดอลลาร์ แตะระดับ 109.42 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล

ขณะที่สัญญาน้ำมันฮีทติ้งออยล์ส่งมอบเดือนเม.ย.ปิดเพิ่มขึ้น 6.95 เซนต์ แตะระดับ 3.1379 ดอลลาร์ต่อแกลลอน และสัญญาน้ำมันเบนซินส่งมอบเดือนเม.ย.ปิดเพิ่มขึ้น 15.58 เซนต์ แตะระดับ 2.66 ดอลลาร์ต่อแกลลอน

ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ตลาด ICE กรุงลอนดอน ส่งมอบเดือนพ.ค.ปิดพุ่งขึ้น 3.81 ดอลลาร์ แตะระดับ 105.56 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล

นักลงทุนแห่เข้าซื้อสัญญาน้ำมันดิบและสัญญาน้ำมันประเภทอื่นๆ หลังจาก "เฟด" มีมติลดอัตราดอกเบี้ยประเภทระยะสั้น (fed funds rate) ลงอีก 0.75% สู่ระดับ 2.25% ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือน ธ.ค.2547 และปรับลดอัตราดอกเบี้ยมาตรฐาน (discount rate) ลงอีก 0.75% สู่ระดับ 2.5%

นายจิม ริทเทอร์บุช ประธานบริษัทริทเทอร์บุช แอนด์ แอสโซซิเอทส์ ในรัฐอิลลินอยส์กล่าวว่า การที่เฟดตัดสินใจลดอัตราดอกเบี้ยลงอีก 0.75% ทำให้ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนตัวลงอีกเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักๆ ซึ่งกระตุ้นนักลงทุนให้เข้าซื้อสัญญาน้ำมันดิบอย่างคับคั่ง เนื่องจากน้ำมันดิบซื้อขายในรูปสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งราคาสัญญาจะมีราคาถูกลงเมื่อดอลลาร์อ่อนตัวลง

นอกจากนี้ การที่ตลาดหุ้นนิวยอร์กพุ่งขึ้นกว่า 100 จุดทำให้นักลงทุนคาดหวังว่าเศรษฐกิจสหรัฐจะสามารถฝ่าฟันปัญหาในตลาดสินเชื่อไปได้ ขณะเดียวกันความวิตกกังวลเกี่ยวกับปัญหาในตลาดเชื่อผ่อนคลายลงทันทีที่เลห์แมน บราเธอร์ส และโกลด์แมน แซคส์ เปิดเผยผลประกอบการที่สูงเกินคาด

นักลงทุนจับตาดูรายงานสต็อคน้ำมันประจำสัปดาห์ซึ่งกระทรวงพลังงานสหรัฐจะเปิดเผยในคืนวันพุธ (ตามเวลาประเทศไทย) โดยนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าสต็อกน้ำมันดิบจะเพิ่มขึ้น 2.4 ล้านบาร์เรล สต็อกน้ำมันกลั่นอาจลดลง 1.6 ล้านบาร์เรล และสต็อกน้ำมันเบนซินอาจลดลง 300,000 บาร์เรล
กำลังโหลดความคิดเห็น