ราคาน้ำมันดิบพุ่งทะลุ 108 ดอลลาร์/บาเรล ขณะที่ดาวโจนส์ร่วงจากแรงเทขายหุ้นกลุ่มสถาบันการเงิน และค่าเงินดอลลาร์เทียบเงินเยนทรุดหนัก ต่ำสุดรอบ 3 ปี นักวิเคราะห์แนะจับตาผลประชุมเฟด 18 มี.ค.นี้ พร้อมดูตัวเลขซีพีไอ 13-14 มี.ค.นี้ สะท้อนความเสียหายของซับไพรม์
วันนี้(11 มี.ค.) สำนักข่าวเอพีรายงานว่า ราคาน้ำมันดิบตลาดนิวยอร์กของสหรัฐ NYMEX (New York Mercantile Exchange) ปิดพุ่งขึ้น 2.75 ดอลลาร์เมื่อคืนนี้ (10 มี.ค.) โดยในระหว่างวัน ราคาทะยานขึ้นเหนือระดับ 108 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล เพราะได้รับอิทธิพลจากสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐที่อ่อนค่าลงแตะระดับต่ำสุดในรอบ 3 ปีเมื่อเทียบกับสกุลเงินเยน ซึ่งการอ่อนตัวลงอย่างต่อเนื่องของสกุลเงินดอลลาร์ทำให้ธนาคารกลางยุโรป (อีซีบี) แสดงความวิตกกังวล
ทั้งนี้ สัญญาน้ำมันดิบตลาด NYMEX งวดส่งมอบเดือน เม.ย.51 ปิดพุ่งขึ้น 2.75 ดอลลาร์ แตะระดับ 107.90 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล หลังจากทะยานขึ้นแตะระดับสูงสุดในระหว่างวันที่ 108.21 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล
ขณะที่สัญญาน้ำมันฮีทติ้งออยล์ส่งมอบเดือน เม.ย.51 ปิดเพิ่มขึ้น 2.64 เซนต์ แตะระดับ 2.9734 ดอลลาร์ต่อแกลลอน และสัญญาน้ำมันเบนซินส่งมอบเดือน เม.ย.51 ปิดขยับขึ้น 2.06 เซนต์ แตะระดับ 2.7149 ดอลลาร์ต่อแกลลอน
ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ที่ตลาด ICE กรุงลอนดอน ส่งมอบเดือน เม.ย.51 ปิดพุ่งขึ้น 1.78 ดอลลาร์ แตะระดับ 104.16 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
นายแบรด แซมเพลส์ นักวิเคราะห์จากบริษัทซัมมิท เอนเนอร์จี เซอร์วิสเซส ในเมืองหลุยส์วิลล์ รัฐเคนตั๊กกี้ กล่าวว่า นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่เชื่อว่า สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐที่อ่อนตัวลงอย่างต่อเนื่องได้ดึงดูดนักลงทุน โดยเฉพาะนักลงทุนต่างชาติ ให้เข้าซื้อเก็งกำไรสัญญาน้ำมันดิบ และเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้ราคาน้ำมันดิบพุ่งขึ้นแบบฉุดไม่อยู่
"ข้อมูลเศรษฐกิจที่ซบเซาของสหรัฐยิ่งเพิ่มน้ำหนักให้กับกระแสคาดการณ์ที่ว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยอีกในการประชุมวันที่ 18 มี.ค.นี้ ซึ่งหากเฟดลดดอกเบี้ยอีก ก็จะยิ่งทำให้สกุลเงินดอลลาร์อ่อนตัวลงอีก"
ด้านนาย ปีเตอร์ บูเทล นักวิเคราะห์จากบริษัทคาเมรอน แฮมโอเวอร์กล่าวว่า ราคาน้ำมันดิบในขณะนี้เคลื่อนไหวอย่างไม่สอดคล้องกับปัจจัยพื้นฐาน แต่ถูกขับเคลื่อนด้วยการเก็งกำไร นอกจากนี้ นักลงทุนยังไม่ให้ความสนใจกับสถานการณ์ในแอฟริกาใต้ ที่เริ่มเข้าสู่ภาวะปกติ รวมทั้งการที่เวเนซูเอลายืนยันว่าจะประสานสัมพันธ์ทางการทูตอย่างใกล้ชิดกับโคลัมเบีย หลังจากเกิดเหตุการณ์โจมตีที่บริเวณชายแดนโคลัมเบีย
นักลงทุนจับตาดูรายงานสตอกน้ำมันประจำสัปดาห์ของสหรัฐซึ่งจะมีการเปิดเผยในคืนวันพุธ โดยนักวิเคราะห์ในโพลล์ดาวโจนส์ นิวส์ไวร์คาดการณ์ว่า สต็อคน้ำมันเบนซินในรอบสัปดาห์ซึ่งสิ้นสุด ณ วันที่ 7 มี.ค.จะเพิ่มขึ้น 100,000 บาร์เรล น้ำมันดิบจะเพิ่มขึ้น 1.7 ล้านบาร์เรล แต่น้ำมันกลั่นจะลดลง 2 ล้านบาร์เรล
**น้ำมันพุ่งปุ๊บ-ดาวโจนส์ร่วงปั๊บ กังวลเงินเฟ้อ
สำนักข่าวเอพีรายงานภาวะดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ของตลาดหุ้นนิวยอร์กในสหรัฐปิดร่วง 153.54 จุด หรือ 1.29% แตะระดับ 11,740.15 จุด ขณะที่ดัชนี S&P 500 ปิดลดลง 20.00 จุด หรือ 1.55% แตะระดับ 1,273.37 และดัชนี Nasdaq ปิดร่วง 43.15 จุด หรือ 1.95% แตะระดับ 2,169.34 จุด
ปริมาณซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กมีอยู่ประมาณ 1.61 พันล้านหุ้น มีจำนวนหุ้นลบมากกว่าหุ้นบวกในอัตราส่วน 5 ต่อ 1 ส่วนปริมาณการซื้อขายในตลาด Nasdaq มีอยู่ประมาณ 2.15 พันล้านหุ้น
นายไรอัน เดทริค นักวิเคราะห์จากเชฟเฟอร์ อินเวสท์เมนท์ รีเสิร์ช กล่าวว่า นักลงทุนวิตกกังวลว่าเศรษฐกิจสหรัฐอาจเผชิญภาวะ Stagflation เนื่องเศรษฐกิจชะลอตัวลง แต่กลับมีแรงกดดันด้านเงินเฟ้อสูงขึ้น โดยเฉพาะราคาน้ำมันดิบตลาดนิวยอร์กที่พุ่งขึ้นเหนือระดับ 108 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลเมื่อคืนนี้
"อย่างไรก็ตาม ผมคาดว่าตลาดจะค่อนข้างทรงตัวในอีก 2-3 วันข้างหน้า จนกว่าจะทราบผลการประชุมของ เฟด ในวันที่ 18 มี.ค.นี้"
**ลุ้นตัวเลขซีพีไอ 13-14 มี.ค.นี้ ชี้ความเสียหายจากซับไพรม์
นักลงทุนกระหน่ำขายหุ้นกลุ่มการเงินหลังจากนักวิเคราะห์ของเจฟเฟอร์รีส์ แอนด์ โค ประกาศลดอันดับเครดิตบริษัทธอร์นเบิร์ก มอร์ทเกจ และหลังจากมีรายงานว่าบริษัทคันทรีไวด์ ไฟแนนเชียล ถูกเจ้าหน้าที่ของรัฐบาลสหรัฐ ดำเนินการสอบสวนเรื่องการฉ้อโกง
"หุ้นกลุ่มการเงินร่วงลงอย่างหนัก ซึ่งบดบังปัจจัยบวกของข่าวที่ว่ายอดขายเดือนก.พ.ของบริษัทแมคโดนัลด์แข็งแกร่งเกินคาด การร่วงลงของหุ้นกลุ่มการเงินทำให้นักลงทุนมีท่าทีระมัดระวังมากขึ้นก่อนที่สหรัฐจะเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญในสัปดาห์นี้"
ทั้งนี้ ทางการสหรัฐจะเปิดเผยยอดค้าปลีกในวันพฤหัสบดี และจะเปิดเผยดัชนีราคาผู้บริโภค (ซีพีไอ) ในวันศุกร์ซึ่งข้อมูลทั้ง 2 ด้านนี้จะเป็นตัวบ่งชี้ว่าผู้บริโภคชาวสหรัฐได้รับผลกระทบจากวิกฤตการณ์ในตลาดอสังหาริมทรัพย์(ซับไพรม์) และตลาดปล่อยกู้จำนองมากน้อยเพียงใด
ทั้งนี้ หุ้นแมคโดนัลด์พุ่งขึ้น 2.9% หุ้นธอร์นเบิร์ก มอร์ทเกจ ดิ่งลง 60% หุ้นคันทรีไวด์ ไฟแนนเชียล ร่วงลง 14% ส่วนหุ้นแบร์ สเติร์นส์ ร่วงลง 11.1% หลังจากถูกมูดีส์ อินเวสเตอร์ เซอร์วิส ปรับลดอันดับเครดิต ซึ่งเป็นผลมาจากข่าวที่ว่าแบร์ สเติร์นส์กำลังประสบปัญหาสภาพคล่องตึงตัว
นอกจากนี้ มีข้อสังเกตุว่า หุ้นของแบงก์ ออฟ อเมริกา คอร์ป ดิ่งลง 3.9% ขณะที่หุ้นซิตี้กรุ๊ป ร่วงลง 5.8%