ธนาคารกลางสหรัฐ นัดประชุมฉุกเฉิน พร้อมประกาศลดอัตราดอกเบี้ยทันที 0.75% วานนี้ เพื่อพยุงภาวะศก.ตนเอง ถือเป็นการลดครั้งใหญ่ที่สุดในรอบ 23 ปี หลังตลาดหุ้นทั่วโลกร่วงหนักติดต่อกัน 2 วันซ้อน จากผลกระทบวิกฤติศก.ของสหรัฐ "จอร์จ โซรอส" พ่อมดการเงินชื่อดัง เปรียบวิกฤติซับไพรม์ ร้ายแรงที่สุด นับจากสงครามโลกครั้งที่ 2 ขณะที่ตลาดหุ้นดาวโจนส์ ไม่ขานรับมาตรการแก้วิกฤติ ปิดตลาดดิ่งลงอีกกว่า 128 จุด
วันนี้(23 ม.ค.) สำนักข่าวต่างประเทศ รายงานว่า ธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด) นัดประชุมด่วนเพื่อรับมือสถานการณ์ฉุกเฉิน ป้องกันภาวะตลาดหุ้นทั่วโลกดิ่งเหวจากผลกระทบเศรษฐกิจของสหรัฐ โดยที่ประชุมมีมติให้ประกาศลดอัตราดอกเบี้ยทันทีถึง 0.75 เปอร์เซ็นต์ โดยคาดว่าจะสามารถกู้สถานการณ์เศรษฐกิจสหรัฐได้ หลังตลาดหุ้นทั่วโลกดิ่งลงอย่างต่อเนื่องเป็นวันที่ 2 รับวิกฤติที่มีชื่อว่าแฮมเบอร์เกอร์ที่นับว่าเป็นการลดอัตราดอกเบี้ยครั้งใหญ่ที่สุดในรอบ 23 ปี
ทั้งนี้ รายงานข่าวยังระบุว่า เป็นความเคลื่อนไหวแบบฉุกเฉินของเฟด เพื่อพยุงเศรษฐกิจของสหรัฐที่กำลังถูกนักลงทุนเกรงกลัวว่าจะถลำลงสู่ภาวะถดถอยและพลอยทำให้เศรษฐกิจทั่วโลกย้ำแย่ไปด้วย ความหวั่นเกรงเช่นนี้เองทำให้ราคาหุ้นแถบเอเชียทรุดหนัก โดยธนาคารกลางสหรัฐประกาศลดดอกเบี้ยระยะสั้น 0.75 เปอร์เซนต์จาก 4.25 เปอร์เซ็นต์ เหลือ 3.5 เปอร์เซ็นต์ เพื่อพลิกฟื้นความเชื่อมั่นเศรษฐกิจของสหรัฐ หลังจากหุ้นตลาดวอลสตรีทและตลาดหุ้นทั่วโลก พร้อมกันใจร่วงกราวรูด เพราะความไม่แน่ใจเกี่ยวกับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของสหรัฐ ประกอบกับความวิตกกังวลว่า ภาวะชะลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐจะส่งผลกระทบเป็นโดมิโนต่อเศรษฐกิจทั่วโลก
ขณะที่นายจอร์จ โซรอส นักเก็งกำไรเจ้าของฉายาพ่อมดการเงินกล่าวให้สัมภาษณ์ว่าทั่วโลกกำลังเผชิญหน้ากับวิกฤติการณ์ครั้งร้ายแรงที่สุด หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 และสหรัฐกำลังถูกคุกคามจากความเป็นไปได้ที่เศรษฐกิจเข้าสู่ภาวะถดถอย ทางด้านกองทุนการเงินระหว่างประเทศได้แสดงความยินดีที่ธนาคารกลางของสหรัฐตัดสินใจลดอัตราดอกเบี้ยลง โดยถือว่าเป็นการเหมาะสมและก่อให้เกิดประโยชน์
**ดาวโจนส์เมินเฟด ดิ่งลงกว่า 128 จุด
สำนักข่าวเอพีรายงานว่า ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กของสหรัฐ ปิดตลาดร่วงลง 128.11 จุด หรือ 1.06% แตะระดับ 11,971.19 จุด ขณะที่ดัชนี S&P 500 ร่วงลง 14.69 จุด หรือ 1.11% แตะระดับ 1,310.50 จุด และดัชนี Nasdaq ปิดดิ่งลง 47.75 จุด หรือ 2.04% แตะระดับ 2,292.27 จุด
ปริมาณการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กมีอยู่ประมาณ 2.59 พันล้านหุ้น มีจำนวนหุ้นลบมากกว่าหุ้นบวกในอัตราส่วน 9 ต่อ 7 ส่วนปริมาณการซื้อขายในตลาด Nasdaq มีอยู่ประมาณ 3.10 พันล้านหุ้น
นักวิเคราะห์ระบุว่า การที่ดัชนีอุตสาหกรรมดาวโจนส์ฯ ปิดตลาดร่วงลงเมื่อคืนนี้ เนื่องจากนักลงทุนยังคงวิตกกังวลว่าเศรษฐกิจสหรัฐอาจเข้าสู่ภาวะถดถอย แม้ว่า เฟด จะประกาศใช้ยาแรงด้วยการปรับลดอัตราดอกเบี้ยประเภทระยะสั้น (fed funds rate) ลง 0.75% สู่ระดับ 3.50 % และปรับลดอัตราดอกเบี้ยมาตรฐาน (discount rate) ลง 0.75% สู่ระดับ 4.00% ในการประชุมฉุกเฉินเมื่อคืนนี้ก็ตาม
ในเบื้องต้นนั้น ตลาดหุ้นนิวยอร์กร่วงลงตามตลาดหุ้นในทั่วโลก และเมื่อคณะกรรมการเฟดตัดสินใจลดอัตราดอกเบี้ยประเภทระยะสั้นและอัตราดอกเบี้ยมาตรฐาน ก็ช่วยพยุงตลาดให้สามารถไต่ขึ้นจากการร่วงลงอย่างหนักได้ แต่ไม่นานนักตลาดเริ่มถอยกลับไปเคลื่อนไหวในแดนลบ เนื่องจากนักลงทุนมองว่าปัญหาระยะยาวที่สหรัฐจะต้องเผชิญคือภาวะตกต่ำในตลาดที่อยู่อาศัย และการกอบกู้ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคภายในประเทศ
ทั้งนี้ คณะกรรมการเฟดกล่าวในแถลงการณ์ว่า การตัดสินใจของเฟดในครั้งนี้มีขึ้นหลังจากที่คณะกรรมการเฟดเล็งเห็นแนวโน้มเศรษฐกิจที่อ่อนแอลง และมีความเสี่ยงมากขึ้นที่เศรษฐกิจจะเผชิญช่วงขาลง แม้ข้อจำกัดด้านการระดมทุนระยะสั้นในตลาดได้ผ่อนคลายลงบ้างแล้ว แต่ภาวะในตลาดการเงินยังคงซบเซาลง และภาวะสินเชื่อสำหรับภาคธุรกิจและภาคครัวเรือนก็ตึงตัวมากขึ้นด้วย
นอกจากนี้ คณะกรรมการฯ เฟด ยังระบุว่า ตลาดที่อยู่อาศัยมีการชะลอตัวลงมากขึ้น ขณะที่ตลาดแรงงานก็อ่อนตัวลงเช่นกัน ดังนั้น คณะกรรมการเฟดจะยังคงประเมินผลกระทบด้านการเงิน และผลกระทบด้านอื่นๆที่มีต่อแนวโน้มการเติบโตของเศรษฐกิจ และหากจำเป็นเฟดก็จะดำเนินการในเวลาที่เหมาะสมเพื่อขจัดความเสี่ยงเหล่านี้
นายไมค์ เชนค์ นักวิเคราะห์จากเครดิต ยูเนียน เนชันแนล แอสโซซิเอชัน กล่าวว่า ถึงแม้ เฟด จะลดอัตราดอกเบี้ยลงมากกว่าที่คาดการณ์ไว้ที่ 0.50% แต่นักลงทุนส่วนใหญ่ไม่มั่นใจว่าจะสามารถยับยั้งภาวะถดถอยของเศรษฐกิจได้ ตราบใดที่ปัญหาเรื่องความเชื่อมั่นของผู้บริโภคยังคงมีอยู่ เนื่องจากตัวเลขการใช้จ่ายผู้บริโภคคิดเป็นสัดส่วน 2 ใน 3 ของกิจกรรมทางเศรษฐกิจโดยรวม
"แม้อัตราดอกเบี้ยมีแนวโน้มลดลงอีก แต่หากความเชื่อมั่นของผู้บริโภคถดถอยลง ผู้บริโภคก็อาจจะลดการใช้จ่ายลง แม้แต่ในช่วงเทศกาลวันหยุดที่ตัวเลขการใช้จ่ายเพิ่มขึ้นอย่างคึกคักก็ตาม"
ก่อนหน้านี้ ประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิ้ลยู บุช ของสหรัฐได้ประกาศแผนกระตุ้นเศรษฐกิจมูลค่า 1.45 แสนล้านดอลลาร์ ซึ่งรวมถึงการปรับลดภาษี โดยมุ่งหวังที่จะช่วยสกัดกั้นมิให้เศรษฐกิจสหรัฐเข้าสู่ภาวะถดถอย โดยบุชมั่นใจว่างบประมาณครั้งนี้ซึ่งคิดเป็นร้อยละ 1 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) มากพอที่จะช่วยให้เศรษฐกิจของสหรัฐขยายตัวได้ต่อไปและมีการสร้างงานมากขึ้น