"เมอร์ริล ลินช์" เผยตัวเลขผลประกอบการไตรมาส 4 ปีที่แล้ว ขาดทุนสุทธิ 9.91 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ สูงกว่าที่ตลาดคาดการณ์ ส่งผลตลาดหุ้นดาวโจนส์ดิ่งลงกว่า 300 จุด เมื่อคืนนี้ สะท้อนปัญหาวิกฤติซับไพรม์ที่บานปลายขึ้น และบ่งชี้การถดถอยเศรษฐกิจของสหรัฐอย่างชัดเจน
วันนี้(18 ม.ค.) สำนักข่าวธอมสัน ไฟแนนเชียล รายงานว่า บริษัท เมอร์ริล ลินช์ แอนด์ โค สถาบันการเงินและวาณิชธนกิจรายใหญ่ของโลก สัญชาติสหรัฐ ได้ออกมาเปิดเผยตัวเลขผลประกอบการในไตรมาส 4 ปี 2550 มียอดขาดทุนสุทธิ 9.91 พันล้านดอลลาร์ หรือ 12.01 ดอลลาร์ต่อหุ้น เมื่อเทียบกับผลกำไรในปีก่อนที่ 2.3 พันล้านดอลลาร์ หรือ 2.41 ดอลลาร์ต่อหุ้น
โดยยอดการขาดทุนครั้งนี้ ถือเป็นการขาดทุนรายไตรมาสที่รุนแรงที่สุดนับตั้งแต่ที่มีการก่อตั้งบริษัทเมื่อ 94 ปีที่แล้ว หลังจากที่บริษัทต้องตั้งสำรองหนี้สูญเป็นวงเงินสูงถึง 1.46 หมื่นล้านดอลลาร์ จากการลงทุนในตลาดสินเชื่อ
ทั้งนี้ เมอร์ริล ลินช์ เป็นวาณิชธนกิจรายที่ 3 ของ 5 วาณิชธนกิจรายใหญ่ในตลาดวอลล์สตรีทที่เปิดเผยตัวเลขขาดทุนในไตรมาส 4
ก่อนหน้านี้ นักวิเคราะห์ในตลาดวอลล์สตรีทคาดว่าตัวเลขขาดทุนของเมอร์ริล ลินช์ จะอยู่ที่ 4.93 ดอลลาร์ต่อหุ้น แต่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ไม่สามารถคาดการณ์ตัวเลขขาดทุนได้อย่างถูกต้องมานับตั้งแต่ช่วงฤดูร้อน เนื่องจากวาณิชธนกิจหลายแห่งมีการตัดบัญชีหนี้สูญจำนวนมากและมีการระดมทุนใหม่ๆ เพื่อพยุงกิจการให้สามารถเดินหน้าต่อไปได้
รายงานข่าว ระบุอีกว่า เมื่อไม่นานมานี้ เมอร์ริล ลินช์ ระดมเงินทุนใหม่ได้เกือบ 1.3 หมื่นล้านดอลลาร์ ซึ่งส่วนใหญ่มาจากกองทุนในสิงคโปร์ เกาหลีใต้ และคูเวต
นายจอห์น เตียน ผู้บริหารของใหม่ของเมอร์ริล ลินช์ กล่าวว่า เขาเชื่อว่าสาเหตุที่ทำให้บริษัทขาดทุนมากขนาดนี้มาจากการตัดบัญชีหนี้สูญในตลาดซับไพรม์ และยังไม่สามารถประเมินได้ว่าสถานการณ์ของเมอร์ริล ลินช์ในปี 2551 จะเป็นอย่างไร แม้บริษัทได้รับการอัดฉีดเม็ดเงินทุนเพิ่มขึ้นจากกองทุนต่างชาติเมื่อช่วงต้นสัปดาห์ที่ผ่านมาก็ตาม
นายจอหน์ โอโดนอฟ นักวิเคราะห์จากบริษัทโคเวน แอนด์ โค กล่าวว่า "นักลงทุนกังวลเรื่องเศรษฐกิจที่กำลังชะลอตัวลง ตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่ตกต่ำเป็นเวลาหลายเดือน และวิกฤตการณ์ในตลาดสินเชื่อ ซึ่งปัจจัยลบเหล่านี้รุมเร้าตลาดมาตั้งแต่ช่วงต้นปี และความวิตกกังวลยิ่งทวีคูณมากขึ้นเมื่อเฟดสาขาฟิลาเดลเฟียเปิดเผยข้อมูลการผลิตที่ย่ำแย่
นอกจากนี้ การที่กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่าตัวเลขการเริ่มสร้างบ้านเดือนธ.ค.ร่วงลง 14% แตะระดับ 1.01 ล้านยูนิตซึ่งเป็นระดับที่อ่อนแอที่สุดในรอบกว่า 16 ปีนั้น ยิ่งสะท้อนให้เห็นว่าเศรษฐกิจสหรัฐถดถอยลงแล้ว
การเปิดเผยยอดขาดทุนของเมอร์ริล ลินช์ ส่งผลให้ราคาหุ้นเมอร์ริล ลินช์ร่วงลงถึง 10% เมื่อคืนนี้ และเป็นหนึ่งในสาเหตุสำคัญที่ทำให้ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดร่วงลง 306.95 จุด หรือ 2.46% แตะระดับ 12,159.21 จุด
สำนักข่าวเอพีรายงานว่า ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กของสหรัฐปิดร่วงลง 306.95 จุด หรือ 2.46% แตะระดับ 12,159.21 จุด ขณะที่ดัชนี S&P 500 ปิดลดลง 39.95 จุด หรือ 2.91% แตะระดับ 1,333.25 จุด และดัชนี Nasdaq ปิดรูดลง 47.69 จุด หรือ 1.99% แตะระดับ 2,346.90 จุด
ปริมาณการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กมีอยู่ประมาณ 2.17 พันล้านหุ้น มีจำนวนหุ้นลบมากกว่าหุ้นบวกในอัตราส่วน 5 ต่อ 1 ส่วนปริมาณการซื้อขายในตลาด Nasdaq มีอยู่ประมาณ 2.79 พันล้านหุ้น
นัวิเคราะห์ต่างชาติระบุว่า การปรับลงแรงของดัชนีหุ้นดาวโจนส์ เมื่อคืนนี้ เนื่องจากนักลงทุนวิตกกังวลเกี่ยวกับปัญหาในตลาดสินเชื่อมากขึ้น เมื่อเมอร์ริล ลินช์ เปิดเผยตัวเลขขาดทุนอย่างหนักถึง 9.91 พันล้านดอลลาร์ เนื่องจากการตัดบัญชีหนี้สูญ อันเป็นผลมาจากการลงทุนในตลาดปล่อยกู้จำนองให้กับลูกหนี้ที่มีความน่าเชื่อถือต่ำ (ซับไพรม์)