xs
xsm
sm
md
lg

ปิดท้ายเดือนแห่งความรัก : เรารักชาติกันเพียงใด

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ตลาดหุ้นมักจะพูดเสมอเรื่อง " ความไม่แน่นอนทางการเมือง " ว่าเป็นอุปสรรคต่อการก้าวเดินไปของทิศทางบ้านเมือง เศรษฐกิจ และตลาดหุ้น จริง ๆ แล้วดูเหมือนตลาดหุ้นมิได้เลือกข้างใด เป็นข้างใดก็ได้ แต่ขอให้ชัดเจน

อย่างช่วงปี 2548 ปลายรัฐบาลก่อนหน้า เมื่อใดที่มีสัญญาณว่า **รัฐบาลนั้นรักษาสถานภาพได้ ตลาดหุ้นก็ดูดีขึ้น แต่เมื่อรัฐบาลได้รับศรัทธาที่อ่อนลง มีประชาชนต่อต้านรัฐบาลมากขึ้น ก็ทำให้สภาวะตลาดหุ้นไม่ดี ดูคล้ายกับว่า ตลาดหุ้นเลือกข้างรัฐบาลก่อนหน้า **

ต่อมาในช่วงรัฐบาล "ขิงแก่" หลังจากตลาดดูจะตกใจไปชั่วคราวไม่นาน ทิศทางตลาดก็ดูเปลี่ยนไป ตลาดหุ้นก็กลับมีภาพที่เป็นบวก เมื่อม็อบ นปก. อ่อนกำลังลงเช่นกัน เมื่อมีสั่งให้การเลือกตั้งเป็นโมฆะ เมื่อมีคำพิพากษาให้ยุบพรรค แต่ละขั้นนั้น ตลาดดูจะเป็นบวกในช่วงรัฐบาลอำนาจเก่าอ่อนแรงลงมาในช่วงนี้ เมื่อมีสัญญาณว่า รัฐบาลน่าจะสามารถดูแลบ้านเมืองไปได้ หุ้นก็ดี ก็ดูเหมือน ตลาดหุ้นกลับมาเข้าข้าง **กรณีรัฐบาล ฯพณฯ สมัครรักษาเสถียรภาพได้อีกครั้งหนึ่งสะท้อนว่า ความเชื่อมั่นของตลาดทุนนั้น ปรับเปลี่ยนไปตามสถานการณ์ ดูเหมือนไม่ได้ปักหลักชัดเจนว่าจะเป็นด้านใด แต่ขอให้มีทิศทางที่ชัดเจนก็พอ** หากรัฐบาลใดๆ สามารถรักษาศรัทธาประชาชน เป็นที่ยอมรับของประชาชน รัฐบาลก็จะมีเสถียรภาพ

ผมจึงเชื่อว่า **หลายๆ ฝ่าย ล้วนแต่มีความสำคัญต่อความเป็นไปของบ้านเมือง หลายๆฝ่ายส่วนมากก็ได้รับพระคุณแผ่นดินมามากมาย ผู้ใหญ่บางท่านถึงกับก้มลงกราบแผ่นดินไทย ซึ่งเป็นแผ่นดินบ้านเกิด ฝ่ายกลุ่มต่อต้านเอง ก็ประกาศถึงการดำเนินการด้วยความรักชาติรักแผ่นดินเช่นกัน** ผมหวังว่า ทุกๆฝ่าย จะดำเนินชีวิตบนความรัก และใจรักแท้ต่อแผ่นดินกันจริงๆมากๆทุกคนมองย้อนกลับไป ในขณะที่หลายคนอาจจะถูกทำให้ความคิดเห็น "แตกแยก" กันไปอย่างมาก กลุ่มผู้ชอบอดีตนายกฯ ก็อาจรู้สึกว่า ไม่ควรปฏิวัติเลย ทำให้รัฐบาลนั้นต้องสะดุด กลุ่มผู้ไม่ชอบอดีตนายกฯ ก็อาจรู้สึกว่า ไม่ควรปฏิวัติเลย ถ้าปฏิวัติทั้งที ยังกวาดล้างอำนาจเดิมไม่ได้ ดูเหมือนแต่ละฝ่าย ก็ไม่มีใครพอใจกับผลปัจจุบันผมเองยังอยากมองอย่างมีความหวังว่า ที่ผ่านมาก็นับว่าดีที่สุดแล้ว

(1) ความแตกแยกขัดแย้งดูจะลดน้อยลงไป แทนที่จะมีการจัดตั้งประชาชนมาปะทะกัน สถานการณ์ความขัดแย้งก็ดูจะคลี่คลายไป ทุกฝ่ายมีโอกาสตั้งสติมากขึ้น ระลึกถึงพระราชดำรัสเรื่อง "รู้รักสามัคคี" กันได้มากขึ้น

(2) แม้มีการปฏิวัติ แต่มิได้ยึดทรัพย์อย่างไร้เหตุผล เพียงมีการอายัดทรัพย์ โดยได้ใช้กระบวนการยุติธรรม ไม่ได้ตัดสินเรื่องพรรคการเมือง หรือนักการเมืองเพียงตามอำเภอใจ แต่ใช้หลักฐานและเหตุผลในการดำเนินการกับกลุ่มอำนาจเก่าอย่างเป็นธรรม

(3) เรายังคงให้ความสำคัญมาก ต่อระบอบการประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข รัฐบาล "ขิงแก่" ได้ก้าวลงจากอำนาจ และจัดการเลือกตั้งทันตามสัญญา เราเดินหน้าเลือกตั้ง และให้ผลเป็นไปตาม ระบบ ระบอบ ทุกฝ่ายยังเคารพกติกา

(4) เมื่อรัฐบาลนี้เข้ารับตำแหน่ง แม้จะมีท่าทีที่จะสืบต่อจากรัฐบาล ทรท. แม้กระทั่งฝ่ายที่ต่อต้านรัฐบาลอำนาจเก่า ก็ยอมรับผลการเลือกตั้ง โดยไม่มีการต่อต้าน เพียงแต่ส่งสัญญาณให้ดำรงความสุจริต ไม่ควรทำหน้าที่เป็นโนมินีมาบิดเบือนกระบวนการยุติธรรม

(5) รัฐบาล ฯพณฯ สมัคร ก็ยังมีท่าทีที่จะรักษาความถูกต้องชอบธรรมของกระบวนการยุติธรรม ตั้งแต่ตอนหาเสียง หรือหลังได้รับการโปรดเกล้าฯแต่งตั้งให้เป็นนายกรัฐมนตรีฯ ก็ยังไม่เปลี่ยนท่าที ยังไม่ได้บอกว่า "จะใช้อำนาจรัฐ ทำเรื่องผิดให้เป็นเรื่องถูก" หากทุกฝ่ายมองปัญหาของบ้านเมืองอย่างจริงจัง และจริงใจ ก็จะเป็นการทดแทนคุณของแผ่นดิน บ้านเมืองได้ผ่านปัญหามามากมายในช่วง 2-3 ปี ที่ผ่านมา ควรที่เราทุกๆคนจะได้บทเรียนมาทำให้ถูกต้องหลักการที่สำคัญที่ทำให้บ้านเมืองสงบ **ยังคงเป็น หลักการ "ประชาธิปไตย" ควบคู่ไปกับหลักการ "นิติธรรม" เพื่อให้กลไก

"เสียงส่วนใหญ่" เป็นกลไก " เลือก" ผู้บริหารบ้านเมือง และ กลไกแห่ง "ความถูกต้อง" เป็นกระบวนการกำกับดูแล ไม่ให้ผู้มีอำนาจ ใช้อำนาจในทางที่ผิด **ทั้ง 2 ด้านจึงควรดำรงอยู่ประกอบกันไปสิ่งที่คนไทยทุกคนจะช่วยกัน ทำให้บ้านเมืองยกระดับ **คือการมี ความดี กับ ความรัก ความดี คือความทุ่มเท และความสัตย์ซื่อ และ ความรักคือการให้ นักการเมืองต้องเข้าหาประชาชน จนได้รับเสียงคะแนนนิยมจากประชาชน ก็คงมีสำนึก "ให้" และ "รัก" ประชาชนพอสมควร** หลายคนคงพร้อมที่จะกราบขอบพระคุณแผ่นดินคล้ายๆกัน เราทุกคนอยากจะเชื่อว่า เป็นการแสดงความรักต่อแผ่นดิน และความรักต่อส่วนรวม "เพื่อส่วนรวม" ไม่ใช่สร้างความรู้สึกรัก "เพื่อส่วนตัว" อย่างแท้จริง

ในฐานะประชาชน ก็ยังระลึกถึงหลักการความรักปิดท้ายว่า "ความรักนั้นก็อดทนนานและกระทำคุณให้ ความรักไม่อิจฉา ไม่อวดตัว ไม่หยิ่งผยอง ไม่หยาบคาย ไม่คิดเห็นแก่ตนเองฝ่ายเดียว ไม่ฉุนเฉียว ไม่ช่างจดจำความผิด ไม่ชื่นชมยินดีเมื่อมีการประพฤติผิด แต่ชื่นชมยินดีเมื่อประพฤติชอบ ความรักทนได้ทุกอย่างแม้ความผิดของคนอื่น และเชื่อในส่วนดีของเขาอยู่เสมอ และมีความหวังอยู่เสมอ และทนต่อทุกอย่าง" ซึ่งทุกข้อทุกตอนมีความหมาย และมีความครบถ้วนจริงๆ และเชื่อว่าหลักการความรัก จะช่วยทำให้บ้านเมืองผ่านพ้นวิกฤตไปได้ และมีความรุ่งเรืองยั่งยืนจริงๆ ครับ


มนตรี ศรไพศาล
(montree4life@yahoo.com)
กำลังโหลดความคิดเห็น