สคิบเร่งระดมเงินฝากออมทรัพย์ ออก"บุฟเฟต์2" และเงินฝากประจำ 4 เดือนจ่ายดอกเบี้ยสูงรับช่วงเทศกาลตรุษจีน ตั้งเป้าเพิ่มสัดส่วนเงินฝากออมทรัพย์ให้เป็น 33%ภายในปีนี้ จากที่มีอยู่ 30% หวังลด Cost of Fund ให้เหลือต่ำกว่า 2.5% ด้านทิศทางดอกเบี้ยโดยภาพรวมเป็นขาลง แต่ต้องขึ้นอยู่กับสภาพคล่องของเป็นหลัก ระบุรัฐบาลใหม่ควรเร่งออกมาตรการกระตุ้นการลงทุน-บริโภคภาคเอกชนหลังซบมานาน ด้านกรุงศรีฯ ไม่น้อยหน้าออกเงินฝาก 4 เดือนเช่นกัน
นายชัยวัฒน์ อุทัยวรรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัการใหญ่ ธนาคารนครหลวงไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ในปลายปีนี้ ธนาคารตั้งเป้าที่จะเพิ่มสัดส่วนเงินฝากออมทรัพย์เป็น 33%ของเงินฝากรวม จากปัจจุบันที่อยู่ในระดับ 30% ซึ่งจะทำให้ธนาคารลดต้นทุนด้านดอกเบี้ยลงได้ 8-9% จากในแผน 3 ปีของธนาคารตั้งเป้าเพิ่มสัด่วนเงินฝากออมทรัพย์เป็น 40% ซึ่งจะทำให้ธนาคารลดต้นทุนได้ประมาณ 30% อย่างไรก็ตาม cost of fund ของธนาคารในปัจจุบันนั้น ก็ยังอยู่ในระดับที่สูง โดยอยู่ในระดับ 2%ปลายๆ และในปีนี้ธนาคารก็จะพยายามลดให้อยู่ในระดับที่ต่ำกว่า 2.5%
"ตามโครงสร้างเงินฝากของธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่แล้วสัดส่วนเงินฝากประจำและเงินฝากออมทรัพย์จะอยู่ที่ระดับ 60%ต่อ 40% ซึ่งตามแผน 3 ปีของธนาคารก็ตั้งเป้าที่จะปรับโครงสร้างเงินฝากได้ในระดับเดียวกัน เพื่อเป็นการบริหารต้นทุนให้มีประสิทธิภาพด้วย"นายชัยวัฒน์กล่าว
โดยล่าสุด ธนาคารได้เปิดผลิตภัณฑ์เงินฝากออมทรัพย์บุฟเฟต์นครหลวงไทยปี 2551 เพื่อสานต่อจากโครงการเงินฝากออมทรัพย์บุฟเฟต์ปี 2550 ได้ปิดโครงการไปเมื่อวันที่ 2 มกราคมที่ผ่านมา โดยมีเงื่อนไขการสมัครเช่นเดิมคือ บุคคลธรรมดาที่เปิดบัญชีเงินฝากออมทรัพย์ตั้งแต่ 5,000 บาทขึ้นไป และทำบัตร SCIB D-Card จะได้รับสิทธิประโยชน์พิเศษต่างๆ อาทิ รับกระเป๋า Save The Earth มูลค่า 250 บาท รับข้อเสนอดอกเบี้ยเพิ่มอีก 0.25% ต่อปี จาก 0.75% เป็น 1.00% เป็นต้น โดยธนาคารตั้งเป้าระดมเงินฝากจากโครงการดังกล่าวไว้ 6,000 ล้านบาท จากในโครงการแรกที่สามารถระดมเงินฝากได้กว่า 16,000 ล้านบาท รวมทั้งธนาคารได้ออกเงินฝากประจำ 4 เดือน ที่จ่ายดอกเบี้ยสูง 3% มียอดเงินฝากขั้นต่ำ 10,000 บาท เปิดรับตั้งแต่วันนี้ถึง 25 กุมภาพันธ์
นายชัยวัฒน์กล่าวอีกว่า ในช่วงนี้ธนาคารยังมีความต้องการที่จะระดมเงินฝากมากขึ้น เนื่องจากในช่วงไตรมาส 4 ปีก่อน ธนาคารได้ปล่อยสินเชื่อเป็นจำนวนมาก ขณะที่ในปีนี้มองว่าภาคการลงทุนต่างๆอาจจะเริ่มฟื้นตัวขึ้น ทำให้ต้องระดมเงินฝากเตรียมไว้ในระดับหนึ่ง
สำหรับทิศทางของดอกเบี้ยนั้น โดยภาพรวมแล้วอาจจะเป็นขาลง แต่ในส่วนของธนาคารพาณิชย์จะปรับลงตามหรือไม่ก็คงจะขึ้นอยู่กับปัจจัยหลักคือสภาพคล่องของแต่ละแห่ง แต่เชื่อว่าตั้งแต่ปลายปีที่ผ่านมา สภาพคล่องในระบบบางส่วนได้ถูกนำมาใช้บ้างแล้ว ในช่วงต่อไปก็จะขึ้นอยู่กับโครงการลงทุนต่างๆที่จะเกิดขึ้นในปีนี้ว่าจะมีมากน้อยขนาดไหน แต่ในส่วนของเมกะโปรเจกต์นั้น อาจจะเห็นเป็นรูปร่างมากขึ้น แต่การเบิกจ่ายเม็ดเงินคงจะยังมีไม่มากนัก ขณะที่การลงทุนภาคเอกชนก็คงจะรอความชัดเจนจากนโยบายภาครัฐก่อน ซึ่งหากยังมีการลงทุนที่ไม่มากนัก อัตราดอกเบี้ยก็จะอาจจะลงไม่มากเช่นกัน
"ในเรื่องของการฟื้นการลงทุนก็เป็นอีกเรื่องที่รัฐบาลใหม่จะต้องเร่งดำเนินการมาตรการต่างๆเพื่อให้เกิดความเชื่อมั่น และทำให้ภาคเอกชนมีการอุปโภคบริโภคและการลงทุนมากขึ้น ขณะเดียวกันก็ต้องเร่งให้มีการลงทุนในภาครัฐเพิ่มขึ้นด้วยเพื่อเป็นการนำร่องหลังจากที่ชะลอตัวมานานเกินไป ซึ่งถึงแม้ว่ารัฐมนตรีคลังคนใหม่จะไม่ได้เป็นนักเศรษฐกิจหรือการเงิน แต่เชื่อว่าคงมีที่ปรึกษาที่จะช่วยในเรื่องนี้ได้ และที่สำคัญควรจะต้องเป็นคนที่กล้าตัดสินใจในเรื่องต่างๆด้วย"
นอกจากนี้ ปัจจัยที่ยังคงต้องติดตามสถานการณ์ต่อไปเป็นกรณีของปัญหาซับไพรม์ของสหรัฐฯ ซึ่งส่งผลกระทบที่รุนแรงต่อระบบเศรษฐกิจของสหรัฐฯเองและเศรษฐกิจในแถบยุโรป ส่วนสถาบันการเงินของไทยนั้น ยังคงได้รับผลกระทบไม่มากนัก เนื่องจากมีการลงทุนในซีดีโอน้อย แต่ก็ยังคงต้องจับตามองอย่างใกล้ชิดถึงผลกระทบในด้านอื่นๆด้วย โดยเฉพาะกระแสเงินไหลเข้า-ออกที่จะกระทบต่อค่าเงินบาท โดยหากเงินดอลลาร์สหรัฐยังคงอ่อนค่าต่อเนื่อง ก็จะสงผลให้เงินบาทแข็งค่าขึ้นและกดดันต่อภาคส่งออกของไทย แต่เราตรึงให้เงินบาทอ่อนค่า ก็จะกระทบด้านนำเข้าในส่วนของราคาน้ำมันที่จะสูงขึ้น ซึ่งตรงนี้ทั้งในส่วนของธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)ต้องมีการประสานด้านนโยบายกับกระทรวงการคลังด้วย เพื่อให้เกิดความสมดุล
**กรุงศรีฯออกเงินฝาก4เดือน**
นายรอยย์ กุนารา ประธานคณะเจ้าหน้าที่ด้านลูกค้าบุคคล ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ธนาคารได้เปิดให้บริการบัญชีเงินฝากประจำ 4 เดือน อัตราดอกเบี้ย 3% ต่อปี จ่ายดอกเบี้ยทุกเดือน โดยผู้สนใจต้องเงินฝากขั้นต่ำ 50,000 บาท และต้องมีบัญชีเงินฝากออมทรัพย์ หรือบัญชีเงินฝากกระแสรายวันของธนาคารกรุงศรีอยุธยา เพื่อรับโอนดอกเบี้ยจากบัญชีเงินฝากประจำ 4 เดือน ซึ่งกำหนดจ่ายดอกเบี้ยทุกเดือนจนครบกำหนดระยะเวลาการฝาก ซึ่งธนาคารคาดว่าจะเปิดให้บริการแก่ผู้ฝากเงินตั้งแต่วันที่ 5-19 ก.พ. นี้
“บริการเงินฝากระยะสั้นนี้ ถือเป็นการเสนอทางเลือกหนึ่งให้แก่ผู้ฝากเงิน และธนาคารมั่นใจว่าผลิตภัณฑ์ทางการเงินนี้จะได้รับการตอบรับจากลูกค้าเป็นอย่างดี เพราะให้ผลตอบแทนคุ้มค่าเมื่อเทียบกับการลงทุนรูปแบบอื่นในภาวะตลาดดอกเบี้ยเช่นปัจจุบัน”
นายชัยวัฒน์ อุทัยวรรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัการใหญ่ ธนาคารนครหลวงไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ในปลายปีนี้ ธนาคารตั้งเป้าที่จะเพิ่มสัดส่วนเงินฝากออมทรัพย์เป็น 33%ของเงินฝากรวม จากปัจจุบันที่อยู่ในระดับ 30% ซึ่งจะทำให้ธนาคารลดต้นทุนด้านดอกเบี้ยลงได้ 8-9% จากในแผน 3 ปีของธนาคารตั้งเป้าเพิ่มสัด่วนเงินฝากออมทรัพย์เป็น 40% ซึ่งจะทำให้ธนาคารลดต้นทุนได้ประมาณ 30% อย่างไรก็ตาม cost of fund ของธนาคารในปัจจุบันนั้น ก็ยังอยู่ในระดับที่สูง โดยอยู่ในระดับ 2%ปลายๆ และในปีนี้ธนาคารก็จะพยายามลดให้อยู่ในระดับที่ต่ำกว่า 2.5%
"ตามโครงสร้างเงินฝากของธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่แล้วสัดส่วนเงินฝากประจำและเงินฝากออมทรัพย์จะอยู่ที่ระดับ 60%ต่อ 40% ซึ่งตามแผน 3 ปีของธนาคารก็ตั้งเป้าที่จะปรับโครงสร้างเงินฝากได้ในระดับเดียวกัน เพื่อเป็นการบริหารต้นทุนให้มีประสิทธิภาพด้วย"นายชัยวัฒน์กล่าว
โดยล่าสุด ธนาคารได้เปิดผลิตภัณฑ์เงินฝากออมทรัพย์บุฟเฟต์นครหลวงไทยปี 2551 เพื่อสานต่อจากโครงการเงินฝากออมทรัพย์บุฟเฟต์ปี 2550 ได้ปิดโครงการไปเมื่อวันที่ 2 มกราคมที่ผ่านมา โดยมีเงื่อนไขการสมัครเช่นเดิมคือ บุคคลธรรมดาที่เปิดบัญชีเงินฝากออมทรัพย์ตั้งแต่ 5,000 บาทขึ้นไป และทำบัตร SCIB D-Card จะได้รับสิทธิประโยชน์พิเศษต่างๆ อาทิ รับกระเป๋า Save The Earth มูลค่า 250 บาท รับข้อเสนอดอกเบี้ยเพิ่มอีก 0.25% ต่อปี จาก 0.75% เป็น 1.00% เป็นต้น โดยธนาคารตั้งเป้าระดมเงินฝากจากโครงการดังกล่าวไว้ 6,000 ล้านบาท จากในโครงการแรกที่สามารถระดมเงินฝากได้กว่า 16,000 ล้านบาท รวมทั้งธนาคารได้ออกเงินฝากประจำ 4 เดือน ที่จ่ายดอกเบี้ยสูง 3% มียอดเงินฝากขั้นต่ำ 10,000 บาท เปิดรับตั้งแต่วันนี้ถึง 25 กุมภาพันธ์
นายชัยวัฒน์กล่าวอีกว่า ในช่วงนี้ธนาคารยังมีความต้องการที่จะระดมเงินฝากมากขึ้น เนื่องจากในช่วงไตรมาส 4 ปีก่อน ธนาคารได้ปล่อยสินเชื่อเป็นจำนวนมาก ขณะที่ในปีนี้มองว่าภาคการลงทุนต่างๆอาจจะเริ่มฟื้นตัวขึ้น ทำให้ต้องระดมเงินฝากเตรียมไว้ในระดับหนึ่ง
สำหรับทิศทางของดอกเบี้ยนั้น โดยภาพรวมแล้วอาจจะเป็นขาลง แต่ในส่วนของธนาคารพาณิชย์จะปรับลงตามหรือไม่ก็คงจะขึ้นอยู่กับปัจจัยหลักคือสภาพคล่องของแต่ละแห่ง แต่เชื่อว่าตั้งแต่ปลายปีที่ผ่านมา สภาพคล่องในระบบบางส่วนได้ถูกนำมาใช้บ้างแล้ว ในช่วงต่อไปก็จะขึ้นอยู่กับโครงการลงทุนต่างๆที่จะเกิดขึ้นในปีนี้ว่าจะมีมากน้อยขนาดไหน แต่ในส่วนของเมกะโปรเจกต์นั้น อาจจะเห็นเป็นรูปร่างมากขึ้น แต่การเบิกจ่ายเม็ดเงินคงจะยังมีไม่มากนัก ขณะที่การลงทุนภาคเอกชนก็คงจะรอความชัดเจนจากนโยบายภาครัฐก่อน ซึ่งหากยังมีการลงทุนที่ไม่มากนัก อัตราดอกเบี้ยก็จะอาจจะลงไม่มากเช่นกัน
"ในเรื่องของการฟื้นการลงทุนก็เป็นอีกเรื่องที่รัฐบาลใหม่จะต้องเร่งดำเนินการมาตรการต่างๆเพื่อให้เกิดความเชื่อมั่น และทำให้ภาคเอกชนมีการอุปโภคบริโภคและการลงทุนมากขึ้น ขณะเดียวกันก็ต้องเร่งให้มีการลงทุนในภาครัฐเพิ่มขึ้นด้วยเพื่อเป็นการนำร่องหลังจากที่ชะลอตัวมานานเกินไป ซึ่งถึงแม้ว่ารัฐมนตรีคลังคนใหม่จะไม่ได้เป็นนักเศรษฐกิจหรือการเงิน แต่เชื่อว่าคงมีที่ปรึกษาที่จะช่วยในเรื่องนี้ได้ และที่สำคัญควรจะต้องเป็นคนที่กล้าตัดสินใจในเรื่องต่างๆด้วย"
นอกจากนี้ ปัจจัยที่ยังคงต้องติดตามสถานการณ์ต่อไปเป็นกรณีของปัญหาซับไพรม์ของสหรัฐฯ ซึ่งส่งผลกระทบที่รุนแรงต่อระบบเศรษฐกิจของสหรัฐฯเองและเศรษฐกิจในแถบยุโรป ส่วนสถาบันการเงินของไทยนั้น ยังคงได้รับผลกระทบไม่มากนัก เนื่องจากมีการลงทุนในซีดีโอน้อย แต่ก็ยังคงต้องจับตามองอย่างใกล้ชิดถึงผลกระทบในด้านอื่นๆด้วย โดยเฉพาะกระแสเงินไหลเข้า-ออกที่จะกระทบต่อค่าเงินบาท โดยหากเงินดอลลาร์สหรัฐยังคงอ่อนค่าต่อเนื่อง ก็จะสงผลให้เงินบาทแข็งค่าขึ้นและกดดันต่อภาคส่งออกของไทย แต่เราตรึงให้เงินบาทอ่อนค่า ก็จะกระทบด้านนำเข้าในส่วนของราคาน้ำมันที่จะสูงขึ้น ซึ่งตรงนี้ทั้งในส่วนของธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)ต้องมีการประสานด้านนโยบายกับกระทรวงการคลังด้วย เพื่อให้เกิดความสมดุล
**กรุงศรีฯออกเงินฝาก4เดือน**
นายรอยย์ กุนารา ประธานคณะเจ้าหน้าที่ด้านลูกค้าบุคคล ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ธนาคารได้เปิดให้บริการบัญชีเงินฝากประจำ 4 เดือน อัตราดอกเบี้ย 3% ต่อปี จ่ายดอกเบี้ยทุกเดือน โดยผู้สนใจต้องเงินฝากขั้นต่ำ 50,000 บาท และต้องมีบัญชีเงินฝากออมทรัพย์ หรือบัญชีเงินฝากกระแสรายวันของธนาคารกรุงศรีอยุธยา เพื่อรับโอนดอกเบี้ยจากบัญชีเงินฝากประจำ 4 เดือน ซึ่งกำหนดจ่ายดอกเบี้ยทุกเดือนจนครบกำหนดระยะเวลาการฝาก ซึ่งธนาคารคาดว่าจะเปิดให้บริการแก่ผู้ฝากเงินตั้งแต่วันที่ 5-19 ก.พ. นี้
“บริการเงินฝากระยะสั้นนี้ ถือเป็นการเสนอทางเลือกหนึ่งให้แก่ผู้ฝากเงิน และธนาคารมั่นใจว่าผลิตภัณฑ์ทางการเงินนี้จะได้รับการตอบรับจากลูกค้าเป็นอย่างดี เพราะให้ผลตอบแทนคุ้มค่าเมื่อเทียบกับการลงทุนรูปแบบอื่นในภาวะตลาดดอกเบี้ยเช่นปัจจุบัน”