xs
xsm
sm
md
lg

พรีมาเวสท์ตั้งเป้าAUMโต3หมื่นล้าน เตรียมรวบกองโรลโอเวอร์ลดต้นทุน-ให้ยิลด์เพิ่ม

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

"พรีมาเวสท์"ตั้งเป้าเอยูเอ็มขยายตัวขั้นต่ำ 3 หมื่นล้าน และต้องโตกว่าการขยายตัวของทั้งธุรกิจ เล็งออกตราสารหนี้ระยะสั้นรูปแบบใหม่รวบกองโรลโอเวอร์เป็นกองเดียว หวังลดต้นทุนการบริหาร แต่เพิ่มผลตอบแทนจูงใจผู้ลงทุน ส่วนกองไพรเวทฟันด์ และพร็อพเพอร์ตี้ฟันด์ เล็งขยายขนาดและออกกองใหม่เพิ่ม ปัดแบงก์กรุงศรีรักลูกไม่เท่ากัน ชี้ช่องทางขายผ่านแบงก์ยังราบรื่น เหตุฐานลูกค้า และกองทุนที่ออกมีความแตกต่างกัน

นายเพิ่มพล ประเสริฐล้ำ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม(บลจ.) พรีมาเวสท์ จำกัด เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานของกองทุนในปีที่ผ่านมาถือว่าประสบความสำเร็จด้วยดี โดยมียอดสินทรัพย์รวมภายใต้การบริหารอยู่ที่ประมาณ 2.7 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 49 ประมาณ 34% และในปีนี้ทางบริษัทได้ตั้งเป้าการขยายตัวของสินทรัพย์รวมฯ ไว้ไม่น้อยกว่า 3 หมื่นล้านบาท และต้องมีอัตราการเติบโตไม่น้อยกว่าการขยายตัวของทั้งอุตสาหกรรมกองทุนรวม

สำหรับกองทุนที่บริษัทจะนำออกมาเสนอขายในปีนี้ คาดว่าจะเหมือนกับปีที่แล้วเช่น กองทุนรวมต่างประเทศ (FIF) ซึ่งมีเงินลงทุนเข้ามาเป็นจำนวนมาก แต่รูปแบบของกองจะต้องมีความแตกต่างเพิ่มขึ้นจากกองเก่าที่บริษัทมีอยู่แล้ว ส่วนกองตราสารหนี้คงจะมีการปรับรูปแบบใหม่เช่นกัน และเชื่อว่าลูกค้าที่ชอบลงทุนในกองประเภทนี้ยังมีอยู่

ทั้งนี้ รูปแบบของกองตราสารหนี้ระยะสั้นที่จะออกมาใหม่นั้น จะเน้นในเรื่องของการลดต้นทุนในการบริหาร โดยจะนำกองลักษณะโรลโอเวอร์มารวมเป็นกองเดียวกัน และจะมีการเปิดขายในทุกเดือนครบทั้ง 12 เดือน แต่จะมีกำหนดเวลาซื้อคืนตามอายุทุกๆ 3 เดือนอยู่ ซึ่งทำให้ต้นทุนในการบริหารลดลงได้ถึงประมาณ 10-20% และผลตอบแทนที่นักลงทุนได้จะเพิ่มขึ้นด้วยจากการลดต้นทุนในส่วนนี้

"กองตราสารหนี้ระยะสั้นอันใหม่ของเราจะเป็นกองที่นำกองโรลโอเวอร์ทุก 3 เดือนมารวมอยู่ในกองเดียวกัน และจำทำให้ผู้ลงทุนได้รับผลตอบแทนที่มากขึ้น เนื่องจากต้นทุนในการบริหารลดลง โดยที่ผลตอบแทนจะมีการประกาศในการทุกๆ เดือนที่มีขายกองทุนทั้ง 12 เดือน และไซด์ของกองทุนจะอยู่ที่ประมาณ 2 พันล้านบาท"นายเพิ่มพลกล่าว

นายเพิ่มพล กล่าวอีกว่า นอกจากกองทุนตราสารหนี้ และกองทุนรวม FIF แล้ว บริษัทยังมีความสนใจที่จะออกกองทุนอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งขณะนี้ยังคอยดูสถานการณ์อยู่ และเชื่อว่าลึกๆ แล้วธุรกิจนี้ยังมีการขยายตัว ซึ่งโครงการที่มีการพูดคุยกันไปบ้างแล้วมีประมาณ 2-3 โครงการ และสินทรัพย์ที่บริษัทจะเข้าไปลงทุนจะเป็น เซอร์วิสอาร์พาท์เมท์ คลังสินค้า ส่วนอสังหาริมทรัพย์ในต่างประเทศนั้น บริษัทจะต้องดูการตัดสินใจของ คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) พิจารณาก่อนว่าจะอนุญาตให้เข้าไปลงทุนได้หรือไม่ และรูปแบบใด

ส่วนการลงทุนใน Sector fund บริษัทคงจะต้องดูไปอีกระยะหนึ่งก่อน เนื่องจากการลงทุนเฉพาะกลุ่มจะมีความเสี่ยงสูง และนักลงทุนบ้างส่วนอาจจะยังไม่เข้าใจเนื่องจากยังเป็นเรื่องใหม่

ทั้งนี้ ในส่วนของการดำเนินงานของกองทุนส่วนบุคคลในปีที่ผ่านมา เมื่อเทียบกับปี 49 มีการขยายตัวน้อยลง เนื่องจากมีลูกค้าบางส่วนที่ออกไป โดยขนาดของกองทุนไพรเวทฟันด์สิ้นปีที่ผ่านมาอยู่ที่ประมาณ 300 ล้านบาท และลูกค้าส่วนใหญ่ของบริษัทก็เป็นรายย่อยไม่ใช่สถาบัน และจำนวนเงินขั้นต่ำที่ให้บริษัทบริหาก็มีไม่มากประมาณ 5-10 ล้านบาททำให้จำนวนเงินในกองประเภทนี้ไม่สูงมากนัก อย่างไรก็ตามเชื่อว่ากองไพรเวทฟันด์คงจะขยายตัวเพิ่มขึ้นอีกได้ หลังจากที่ พ.ร.บ.คุ้มครองเงินฝากมีการบังคับใช้

“กองไพรเวทฟันด์ของเราโตน้อยกว่าปี 49 แต่ก็คาดว่าจะโตขึ้นอีก หลังจากมีการใช้พ.ร.บ.คุ้มครองเงินฝาก ซึ่งเงินลงทุนคงจะไหลเข้ากองทุนคุ้มครองเงินต้นก่อน แต่กองไพรเวทฟันด์ก็จะโตด้วยเพราะเรื่องการคุ้มครองเงินฝาก”นายเพิ่มพลกล่าว

นายเพิ่มพล กล่าวอีกว่า การประสานงานระหว่างธนาคารกรุงศรีอยุธยากับ บริษัทในการขายกองทุนรวมในช่วงที่ผ่านมาถือว่าเป็นไปด้วยดี และไม่ซ้ำซ้อนกับการขายหน่วยลงทุนของบลจ.อยุธยา เนื่องจากฐานลูกค้าธนาคารที่บลจ.อยุธยามีจะมีความแตกต่างกับลูกค้าของบริษัท อีกทั้งการออกขายกองทุนของทั้ง 2 แห่งมักจะมีความแตกต่างกัน ส่วนในอนาคตจะมีการรวมกันของทั้ง 2 บลจ.หรือไม่ คงตอบไม่ได้ และคิดว่าเป็นเรื่องของแบงก์ ซึ่งการมี 2 บลจ.จะดีกว่าในแง่ของการจับฐานลูกค้าที่ต่างกัน

“แบงก์ยังคงขายสินค้าให้เราดี และไม่ซ้ำซ้อนกับบลจ.อยุธยา ซึ่งเราต้องดูภาวการณ์และออกกองทุนไม่ให้มันชนกัน ซึ่งฐานลูกค้าแบงก์จะชอบตราสารหนี้ แต่ของเราจะมีความแตกต่างและคอนเซอร์เวย์ทีฟกว่า ส่วนในอนาคตนโยบายการขายสินค้าของแบงก์จะเป็นอย่างไรจะต้องดูไปก่อน ส่วนจะมีการรวมกันของทั้ง 2 บลจ.เหมือนในต่างประเทศหรือเปล่าคิดว่า ทั้ง 2 มีความแตกต่างกัน และจะดีกว่าในการเข้าถึงลูกค้าที่ต่างกัน”นายเพิ่มพลกล่าว
กำลังโหลดความคิดเห็น