ผู้่จัดการรายวัน - บลจ.พรีมาเวสท์ ส่ง“กองทุนเปิดกรุงศรี-พรีมาเวสท์อินคัม 12” ลุยตลาดเพิ่ม โดยจะเน้นลงทุนตราสารหนี้เอกชนคุณภาพดี คาดการณ์ผลตอบแทน 2.95% ต่อปี เปิดขายไอพีโอถึง 29 มกราคมนี้ ด้าน"เพิ่มพล" เผยปีนี้ ไม้ได้ตั้งเป้าเอยูเอ็ม แต่จะพยายามรักษาการเติบโตให้เท่าอุตสาหกรรม ชี้ตลาดตราสารหนี้อีก 6 เดือนยังดี แต่ระวังปัจจัยลบกดดันผลตอบแทนต่ำ
นายเพิ่มพล ประเสริฐล้ำ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม พรีมาเวสท์ จำกัด บริษัทฯ ในเครือธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า สินทรัพย์ภายใต้การบริหารจัดการ (เอยูเอ็ม) ภายในปีนี้ บริษัทไม่ได้ตั้งเป้าหมายไว้ แต่จะพยายามรักษาอัตราการเจริญเติบโตให้สูงกว่าอุตสาหกรรมกองทุนรวมให้ได้ โดยในเดือนนี้ บริษัทจะเปิดเสนอขายกองทุนเปิดกรุงศรี-พรีมาเวสท์อินคัม 12 (KPI12) เพิ่มอีก 1 กองทุน ซึ่งกองทุนดังกล่าวเป็นกองทุนรวมตราสารแห่งหนี้ที่มีนโยบายในการกระจายการลงทุนน้อยกว่าเกณฑ์มาตรฐาน ประเภทรับซื้อคืนหน่วยลงทุนโดยอัตโนมัติ อายุโครงการประมาณ 6 เดือน มีมูลค่าโครงการ 1,000 ล้านบาท โดยจะเปิดเสนอขายหน่วยลงทุนครั้งแรก (IPO) ระหว่างวันที่ 23-29 มกราคม 2551 และมูลค่าเงินลงทุนขั้นต่ำที่ 50,000 บาท
โดยกองทุนนี้เหมาะกับนักลงทุนที่สามารถยอมรับความเสี่ยงได้ต่ำ โดยจะลงทุนในตราสารหนี้ระยะสั้นของสถาบันการเงินที่มีอันดับความน่าเชื่อถือตั้งแต่ระดับ AA ขึ้นไป และตราสารหนี้ของภาคเอกชนที่มีศักยภาพสูง โดยคาดว่าผลตอบแทนจากการลงทุนที่คาดว่าจะได้รับ 3.41% ต่อปี ซึ่งภายหลังหักค่าใช้จ่ายทั้งหมดประมาณ 0.46% ต่อปี ประมาณผลตอบแทนที่กองทุนจะได้รับคือ 2.95% ต่อปี
สำหรับกองทุนเปิดกรุงศรี-พรีมาเวสท์อินคัม 12 มีนโยบายเน้นลงทุนในตราสารภาครัฐไทย ตราสารที่มีอันดับความน่าเชื่อถือของตราสารหรือของผู้ออกตราสารอยู่ในอันดับที่สามารถลงทุนได้ (investment grade) ตราสารแห่งหนี้ของสถาบันการเงิน หรือธนาคารพาณิชย์ หรือธนาคารที่มีกฎหมายเฉพาะจัดตั้งขึ้น และ/หรือเงินฝากของสถาบันการเงิน หรือธนาคารพาณิชย์ หรือธนาคารที่มีกฎหมายเฉพาะจัดตั้งขึ้น รวมทั้งลงทุนในหลักทรัพย์หรือทรัพย์สินอื่นหรือการหาดอกผลโดยวิธีอื่นตามที่คณะกรรมการ ก.ล.ต. หรือสำนักงานคณะกรรมการ ก.ล.ต. ประกาศกำหนด ทั้งนี้ กองทุนจะไม่ลงทุนในหรือมีไว้ซึ่งสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (Derivatives) และตราสารที่มีลักษณะของสัญญาซื้อขายล่วงหน้าแฝง (Structure Note)
ส่วนสัดส่วนเงินลงทุนที่กองทุนจะนำเงินไปลงทุนประกอบไปด้วย ตราสารหนี้ของบริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) โดยมีสัดส่วนการลงทุนประมาณ 17% และสามารถให้ผลตอบแทนประมาณ 3.50% ตราสารหนี้ของบริษัท ไทยพาณิชย์ลิสซิ่ง จำกัด (มหาชน) มีสัดส่วนลงทุนประมาณ 17% สามารถให้ผลตอบแทนประมาณ 3.50% ตราสารหนี้ของบริษัท อยุธยา ดีเวลลอปเม้นท์ ลิสซิ่ง จำกัด มีสัดส่วนลงทุนประมาณ 16% สามารถให้ผลตอบแทนประมาณ 4.10% ตราสารหนี้ของธนาคารดอยซ์แบงก์ มีสัดส่วนลงทุนประมาณ 17% สามารถให้ผลตอบแทนประมาณ 3.10% ตราสารหนี้ของธนาคารฮ่องกงและเซี่ยงไฮแบงกิ้ง คอร์ปอเรชั่น จำกัด มีสัดส่วนลงทุนประมาณ 17% สามารถให้ผลตอบแทนประมาณ 3.10% และตราสารหนี้ของธนาคารคาลิยง มีสัดส่วนลงทุนประมาณ 16% สามารถให้ผลตอบแทนประมาณ 3.20%
นายเพิ่มพล กล่าวว่า ตลาดตราสารหนี้ในช่วง 6 เดือนข้างหน้ายังมีแนวโน้มเจริญเติบโตได้ดี แต่จะต้องดูอัตราผลตอบแทนที่จะได้รับในขณะนั้นด้วยว่าสามารถให้ผลตอบแทนที่ดีได้หรือไม่ โดยอาจมีปัจจัยที่เข้ากระทบอย่างอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้น ก็จะทำให้ผลตอบแทนลดลง และไม่สามารถจูงใจลูกค้าได้
นายเพิ่มพล ประเสริฐล้ำ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม พรีมาเวสท์ จำกัด บริษัทฯ ในเครือธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า สินทรัพย์ภายใต้การบริหารจัดการ (เอยูเอ็ม) ภายในปีนี้ บริษัทไม่ได้ตั้งเป้าหมายไว้ แต่จะพยายามรักษาอัตราการเจริญเติบโตให้สูงกว่าอุตสาหกรรมกองทุนรวมให้ได้ โดยในเดือนนี้ บริษัทจะเปิดเสนอขายกองทุนเปิดกรุงศรี-พรีมาเวสท์อินคัม 12 (KPI12) เพิ่มอีก 1 กองทุน ซึ่งกองทุนดังกล่าวเป็นกองทุนรวมตราสารแห่งหนี้ที่มีนโยบายในการกระจายการลงทุนน้อยกว่าเกณฑ์มาตรฐาน ประเภทรับซื้อคืนหน่วยลงทุนโดยอัตโนมัติ อายุโครงการประมาณ 6 เดือน มีมูลค่าโครงการ 1,000 ล้านบาท โดยจะเปิดเสนอขายหน่วยลงทุนครั้งแรก (IPO) ระหว่างวันที่ 23-29 มกราคม 2551 และมูลค่าเงินลงทุนขั้นต่ำที่ 50,000 บาท
โดยกองทุนนี้เหมาะกับนักลงทุนที่สามารถยอมรับความเสี่ยงได้ต่ำ โดยจะลงทุนในตราสารหนี้ระยะสั้นของสถาบันการเงินที่มีอันดับความน่าเชื่อถือตั้งแต่ระดับ AA ขึ้นไป และตราสารหนี้ของภาคเอกชนที่มีศักยภาพสูง โดยคาดว่าผลตอบแทนจากการลงทุนที่คาดว่าจะได้รับ 3.41% ต่อปี ซึ่งภายหลังหักค่าใช้จ่ายทั้งหมดประมาณ 0.46% ต่อปี ประมาณผลตอบแทนที่กองทุนจะได้รับคือ 2.95% ต่อปี
สำหรับกองทุนเปิดกรุงศรี-พรีมาเวสท์อินคัม 12 มีนโยบายเน้นลงทุนในตราสารภาครัฐไทย ตราสารที่มีอันดับความน่าเชื่อถือของตราสารหรือของผู้ออกตราสารอยู่ในอันดับที่สามารถลงทุนได้ (investment grade) ตราสารแห่งหนี้ของสถาบันการเงิน หรือธนาคารพาณิชย์ หรือธนาคารที่มีกฎหมายเฉพาะจัดตั้งขึ้น และ/หรือเงินฝากของสถาบันการเงิน หรือธนาคารพาณิชย์ หรือธนาคารที่มีกฎหมายเฉพาะจัดตั้งขึ้น รวมทั้งลงทุนในหลักทรัพย์หรือทรัพย์สินอื่นหรือการหาดอกผลโดยวิธีอื่นตามที่คณะกรรมการ ก.ล.ต. หรือสำนักงานคณะกรรมการ ก.ล.ต. ประกาศกำหนด ทั้งนี้ กองทุนจะไม่ลงทุนในหรือมีไว้ซึ่งสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (Derivatives) และตราสารที่มีลักษณะของสัญญาซื้อขายล่วงหน้าแฝง (Structure Note)
ส่วนสัดส่วนเงินลงทุนที่กองทุนจะนำเงินไปลงทุนประกอบไปด้วย ตราสารหนี้ของบริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) โดยมีสัดส่วนการลงทุนประมาณ 17% และสามารถให้ผลตอบแทนประมาณ 3.50% ตราสารหนี้ของบริษัท ไทยพาณิชย์ลิสซิ่ง จำกัด (มหาชน) มีสัดส่วนลงทุนประมาณ 17% สามารถให้ผลตอบแทนประมาณ 3.50% ตราสารหนี้ของบริษัท อยุธยา ดีเวลลอปเม้นท์ ลิสซิ่ง จำกัด มีสัดส่วนลงทุนประมาณ 16% สามารถให้ผลตอบแทนประมาณ 4.10% ตราสารหนี้ของธนาคารดอยซ์แบงก์ มีสัดส่วนลงทุนประมาณ 17% สามารถให้ผลตอบแทนประมาณ 3.10% ตราสารหนี้ของธนาคารฮ่องกงและเซี่ยงไฮแบงกิ้ง คอร์ปอเรชั่น จำกัด มีสัดส่วนลงทุนประมาณ 17% สามารถให้ผลตอบแทนประมาณ 3.10% และตราสารหนี้ของธนาคารคาลิยง มีสัดส่วนลงทุนประมาณ 16% สามารถให้ผลตอบแทนประมาณ 3.20%
นายเพิ่มพล กล่าวว่า ตลาดตราสารหนี้ในช่วง 6 เดือนข้างหน้ายังมีแนวโน้มเจริญเติบโตได้ดี แต่จะต้องดูอัตราผลตอบแทนที่จะได้รับในขณะนั้นด้วยว่าสามารถให้ผลตอบแทนที่ดีได้หรือไม่ โดยอาจมีปัจจัยที่เข้ากระทบอย่างอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้น ก็จะทำให้ผลตอบแทนลดลง และไม่สามารถจูงใจลูกค้าได้