xs
xsm
sm
md
lg

เอวายเอฟตั้งเป้ากองทุนสำรองโต 20%

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ผู้จัดการรายวัน - บลจ.อยุธยา ตั้งเป้่าขยายธุรกิจกองทุนสำรองเลี้ยงชีพโต 15-20% ย้ำไม่นำกลยุทธ์ด้านราคา ดึงลูกค้าแข่งขันกับบลจ.อื่น หวังชูผลตอบแทนและการลงทุนที่หลากหลายจูงใจลูกค้า ระบุพร้อมบริหารเงินให้กลุ่มลูกค้าสถาบัน-สหกรณ์ แต่ในช่วงแรกจะพุ่งเป้าลุยลูกค้าแบงก์แม่ก่อน

นายประภาส ตันติพิบูลย์ศักดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน(บลจ.) อยุธยา จำกัด (AYF) เปิดเผยว่า หลังจากที่ทางธนาคารกรุงศรีอยุธยาได้โอนกองทุนสำรองเลี้ยงชีพให้กับทางบริษัทดูแลจนทำให้สินทรัพย์รวมภายใต้การบริหารของบริษัทเพิ่มขึ้นนั้น ปีนี้ทางบริษัทได้ตั้งเป้าการขยายฐานลูกค้าในส่วนนี้เพิ่มอีกประมาณ 15-20% แต่คงไม่นำเสนอในเรื่องค่าธรรมเนียมการจัดการบริหารมาเป็นกลยุทธ์ เพื่อดึงดูดลูกค้าแข่งขันกับบลจ.อื่นๆ

ทั้งนี้ การขยายฐานลูกค้าของบริษัทในกองประเภทนี้จะนำเสนอผลการดำเนินงาน และผลตอบแทนที่ดีเป็นตัวประชาสัมพันธ์ให้ลูกค้าหันมาใช้บริการ และเชื่อว่าลูกค้าเองถึงแม้จะมีอยู่หลายประเภท แต่ส่วนใหญ่คงจะต้องการผลตอบแทนที่ดีมากกว่าเรื่องอื่น ซึ่งผลงานของบริษัทในช่วงที่ผ่านมาถือว่าอยู่ในระดับที่ลูกค้าพึ่งพอใจ ส่วนการที่ธุรกิจนี้มีการแข่งขันในเรื่องของการลดค่าธรรมเนียม บริษัทยืนยันว่าจะไม่ทำอย่างนั้นเด็ดขาด เพราะการคิดค่าธรรมเนียมที่ต่ำแล้วบริหารแบบธรรมดาไม่ใช่แนวทางบริษัท และลูกค้าเองก็อาจไม่พอใจได้หากผลตอบแทนที่ได้ไม่เป็นไปตามที่ต้องการ

"ลูกค้ามันก็มีอยู่หลายประเภทและก็มีความชอบไม่เหมือนกัน แต่เชื่อว่าส่วนใหญ่จะมองในเรื่องของผลตอบแทนมากกว่า ซึ่งการลงทุนของเราก็มีหลากหลายทำให้ผลตอบแทนที่ได้มีความน่าสนใจ ซึ่งเมื่อเปรียบการกินก๋วยเตี๋ยวที่มีแต่เส้นเป็นจำนวนมากในราคา 20 บาทกับการเพิ่มราคาอีกนิดหนึ่ง แต่ได้ความหลากหลายเพิ่มขึ้น ทั้งลูกชิ้น หรืออะไรก็ตามคนส่วนใหญ่น่าจะชอบแบบหลังมากกว่า ค่าฟีก็เหมือนกันถ้าคิดถูกแล้วบริหารแบบลวกๆ ไม่ค่อยมีทางเลือกให้ลูกค้าเราก็ไม่ทำ ค่าฟีของเราถือว่าแพงแต่การดูแลลูกค้า และการบริหารของเราจะทำงานกันอย่างเต็มที่ เพื่อให้ผลตอบแทนที่ได้ออกมาดีที่สุด"นายประภาสกล่าว

นายประภาส กล่าวอีกว่า การจับกลุ่มลูกค้าสถาบัน หรือสหกรณ์หรือไม่นั้นบริษัทคงยังบอกไม่ได้แต่บริษัทก็พร้อมที่จะดูแลให้หากได้รับความไว้วางใจ ซึ่งการขยายฐานลูกค้าในเบื้อต้นจะเน้นหนักไปในลูกค้าของแบงก์แม่ก่อน ทั้งในส่วนของลูกค้าที่มีการทำสินเชื่อ และเคยใช้บริการจากธนาคาร โดยการเติบโตของกองทุนประเภทนี้คงจะมีการขยายตัวเพิ่มมากขึ้นในอนาคต เนื่องจากมีกฎหมายในเรื่องของสวัสดิการของพนักงานเป็นตัวบังคับอยู่ และเมื่อเศรษฐกิจดีธุรกิจต่างๆ มีการเติบโตนายจ้างก็จำเป็นที่จะต้องจัดตั้งกองทุนลักษณะนี้ให้เป็นไปตามที่กฎหมายบังคับไว้

รายงานข้อมูลจากสมาคมบริษัทจัดการลงทุน (สมาคมบลจ.) ระบุว่า ณ วันที่ 30 พฤศจิกายน 2550 มีกองทุนสำรองเลี้ยงชีพที่จัดตั้งขึ้น จำนวน 515 กองทุน จากการบริหารจัดการโดยบริษัทจัดการกองทุนจำนวน 17 ราย โดย บลจ.กรุงไทย มีจำนวนเงินกองทุนภายใต้การบริหารมากสุดถึง 70,062 ล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วน 16.18% ของอุตสาหกรรมรวม แต่ปรับตัวลดลงจากเดือนตุลาคม 2550 จำนวน 134.28 ล้านบาท หรือ 0.19% ซึ่งในเดือนต.ค. 2550 มีจำนวนเงินกองทุน 70,196 ล้านบาท หรือ 16.17%

ขณะที่ อันดับ 2 ได้แก่ บลจ.ทิสโก้ มีจำนวนเงินกองทุนภายใต้การรวม 61,304 ล้านบาท หรือ 14.16% อันดับ 3. คือ บลจ.เอ็มเอฟซี จำกัด (มหาชน) มีจำนวนเงินกองทุนภายใต้การบริหาร 50,825 ล้านบาท หรือ 11.74% อันดับ4. บลจ.ไทยพาณิชย์ จำกัด มีจำนวนเงินกองทุน 50,624 ล้านบาท หรือ 11.69% และอันดับ 5. บลจ.กสิกรไทย จำกัด มีจำนวนเงินกองทุน 46,828 ล้านบาท หรือ 10.82%

อย่างไรก็ตาม หลายฝ่ายคาดการณ์ว่า ธุรกิจดังกล่าวจะเกิดการเปลี่ยนในเรื่องของส่วนแบ่งการตลาดเพิ่มขึ้นในปีนี้ เนื่องจากมีหลายบริษัทจัดการลงทุนที่ให้ความสำคัญในธุรกิจนี้เป็นพิเศษ โดยก่อนหน้านี้ บลจ.ไทยพาณิชย์ และบลจ.อยุธยา เป็นอีก 2 ราย ที่มีแผนจะเพิ่มส่วนแบ่งการตลาดในธุรกิจดังกล่าว เพราะมองว่าเป็นตลาดที่มีเม็ดเงินอยู่สูง แต่การเติบโตของธุรกิจยังมีน้อย
กำลังโหลดความคิดเห็น