คอลัมน์ “TIMEOUT” โดย “ชมณัฐ”
สร้างความฮือฮาอีกครั้งสำหรับการเสริมทัพผู้เล่นใหม่ของ บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ที่กระชากตัว อดุล หละโสะ ห้องเครื่องตัวเก๋าออกจากอ้อมอก ชลบุรี เอฟซี คู่ปรับในสนามที่เป็นพันธมิตรกันนอกสังเวียน
ก่อนหน้านั้นไม่นานมีข่าวหนาหูว่า “ปราสาทสายฟ้า” เตรียมคว้าตัวแข้งดีกรีทีมชาติไทย จึงถูกการมโนของแฟนบอลจับโยงไปทั่วทุกทิศทั้ง สารัช อยู่เย็น, ธนบูรณ์ เกษารัตน์, ปกเกล้า อนันต์ ไม่เว้นแม้แต่ ธีรศิลป์ แดงดา แต่สุดท้ายหวยกลับออกที่ “บังดุล” อย่างเซอร์ไพรส์ โดยปราศจากข่าวลือ-ข่าววงใน มีเล็ดลอดบ้างเพียงวันเดียว
เพราะมิดฟิลด์จากพัทลุงอายุอานามปาเข้าไป 29 ปี ที่สำคัญเจ้าตัวยังอยู่ระหว่างพักรักษาอาการบาดเจ็บที่ลากยาวมาตั้งแต่ต้นเดือนตุลาคม จากการผ่าตัดก้อนซีสที่หัวเข่าข้างซ้าย ไม่รู้ว่าจะคัมแบ๊กกลับมาได้เต็มร้อยหรือไม่
ทว่าบุรีรัมย์กลับเลือกที่จะเสี่ยง มอบสัญญา 4 ปี แลกกับประสบการณ์ 11 ปี ของอดุลผู้เป็นกำลังสำคัญพา “ฉลามชล” คว้าแชมป์ ไทย พรีเมียร์ ลีก และ เอฟเอ คัพ มาอย่างละ 1 สมัย รวมถึงความเชี่ยวกรากที่ผ่านร้อนหนาวในสีเสื้อทีมชาติอย่างโชกโชน การันตีด้วยปลอกแขนกัปตันช้างศึก ชุดแชมป์ เอเอฟเอฟ ซูซูกิ คัพ 2014 อีกทั้งยังเคยไปเล่นต่างแดนกับทีมต็อตโตริ ในลีกล่างของประเทศญี่ปุ่นมาแล้วเมื่อปี 2008
เหนืออื่นใดสิ่งสำคัญที่เจ้าของแชมป์ไทยลีก 4 สมัย จะได้รับก็คือความเป็น “มืออาชีพ” ของอดุล เพราะสิ่งที่ทำให้เจ้าตัวรักษามาตรฐานการเล่นและความฟิตได้ถึงทุกวันนี้ นั่นก็คือความมีมินัยทั้งในและนอกสนาม ตัวอย่างเช่นยามพักในช่วงเข้าแคมป์ทีมชาติ แข้งรายอื่นเลือกที่จะหากิจกรรมรีแล็กซ์ทำเพื่อผ่อนคลาย แต่อดุลเลือกที่จะมุ่งตรงเข้าห้องฟิตเนส และสิ่งนี้เองจะเป็นตัวอย่างแก่เยาวชนของทีมที่จะก้าวขึ้นมาในอนาคต
ส่วนเรื่องฝีเท้ายิ่งไม่ต้องพูดถึง ห้องเครื่องพลังม้าแสดงให้เห็นแล้วว่าสามารถควบเกือกตะลุยได้ไม่มีหมด แม้ในระดับ เอเอฟซี แชมเปียนส์ ลีก ยังต้องรอพิสูจน์อยู่ แต่ในระดับประเทศอดุลยังเล่นได้สบาย และผึ้งงานตัวนี้จะช่วยสร้างแทคติกใหม่ให้กับแดนกลางของบุรีรัมย์โดยเฉพาะยามที่ต้องเน้นเกมรับ คอยไล่บดคู่ต่อสู้ คนละสไตล์กับ โก ซึล กิ และยังช่วยสแตนด์บายแทน สุเชาว์ นุชนุ่ม กัปตันทีมที่ใกล้จะโรยรา
ขณะที่ตัว “บังดุล” เองไม่มีอะไรต้องเสีย นอกจากเงินเดือนที่เพิ่มขึ้นแล้ว ยังมีโอกาสสูงที่จะเติมเต็มอาชีพด้วยเกียรติยศชื่อเสียงจากโทรฟีอีกมากมายที่เตรียมขนย้ายประดังเข้ามา และยังมีสิทธิ์ได้โลดแล่นอวดฝีเท้าในเกมระดับสโมสรเอเชียรอบสุดท้ายด้วยเช่นกัน ไม่ต่างจากอดีตเพื่อนร่วมสีเสื้อฉลามชลอย่าง สุรีย์-สุรัตน์ สุขะ ที่ตัดสินใจเลือกฝากอนาคตไว้ที่ถิ่น ไอ-โมบาย สเตเดียม ก่อนหน้า
ด้าน ชลบุรี แม้ชอกช้ำใจอยู่บ้างที่ต้องเสียผู้เล่นตัวเก่ง แต่สิ่งนี้คือวิถีฟุตบอล โดย อรรณพ สิงห์โตทอง รองประธานสโมสรฯ ออกมาเผยแล้วว่าพยายามที่จะรั้งตัวนักเตะไว้แล้ว ด้วยการมอบสัญญาใหม่ให้ แต่อดุลเลือกที่จะปฏิเสธ จึงจำเป็นต้องขายออกไป มิเช่นนั้นหากปล่อยให้หมดสัญญาที่เหลืออีกเพียงปีเดียวก็จะเสียแข้งไปแบบฟรีๆ
ซึ่งแอบได้ยินมาว่า ดีลนี้ฝั่ง “ฉลามชล” เคี่ยวไม่น้อยกว่าจะซื้อขายกันลุล่วง เพราะ “เซราะกราว” ต้องการตัวนักเตะไปใช้งาน หากรออีกปีคงจะไม่ทันการ ดังนั้นจึงน่าจะได้เม็ดเงินที่พอใจ ที่เหลือก็ขึ้นอยู่กับทีมแล้วว่าจะนำเงินที่ได้มามาใช้สอยอย่างไรให้คุ้มค่ากับการที่ต้องเสียผู้เล่นตัวหลักไป
สรุปดีลนี้คุ้มทุกฝ่าย โดยเฉพาะตัว อดุล ที่ได้ไปหาความท้าทายสมกับเป็นนักเตะอาชีพ และเชื่อว่าด้วยความมุ่งมั่นมุมานะถวายตัวเล่นเพื่อทีมอย่างที่เคยเห็นกันมาเจ้าตัวจะยังคงเป็นที่รักของแฟนบอลทั้งสองทีมแน่นอน
สร้างความฮือฮาอีกครั้งสำหรับการเสริมทัพผู้เล่นใหม่ของ บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ที่กระชากตัว อดุล หละโสะ ห้องเครื่องตัวเก๋าออกจากอ้อมอก ชลบุรี เอฟซี คู่ปรับในสนามที่เป็นพันธมิตรกันนอกสังเวียน
ก่อนหน้านั้นไม่นานมีข่าวหนาหูว่า “ปราสาทสายฟ้า” เตรียมคว้าตัวแข้งดีกรีทีมชาติไทย จึงถูกการมโนของแฟนบอลจับโยงไปทั่วทุกทิศทั้ง สารัช อยู่เย็น, ธนบูรณ์ เกษารัตน์, ปกเกล้า อนันต์ ไม่เว้นแม้แต่ ธีรศิลป์ แดงดา แต่สุดท้ายหวยกลับออกที่ “บังดุล” อย่างเซอร์ไพรส์ โดยปราศจากข่าวลือ-ข่าววงใน มีเล็ดลอดบ้างเพียงวันเดียว
เพราะมิดฟิลด์จากพัทลุงอายุอานามปาเข้าไป 29 ปี ที่สำคัญเจ้าตัวยังอยู่ระหว่างพักรักษาอาการบาดเจ็บที่ลากยาวมาตั้งแต่ต้นเดือนตุลาคม จากการผ่าตัดก้อนซีสที่หัวเข่าข้างซ้าย ไม่รู้ว่าจะคัมแบ๊กกลับมาได้เต็มร้อยหรือไม่
ทว่าบุรีรัมย์กลับเลือกที่จะเสี่ยง มอบสัญญา 4 ปี แลกกับประสบการณ์ 11 ปี ของอดุลผู้เป็นกำลังสำคัญพา “ฉลามชล” คว้าแชมป์ ไทย พรีเมียร์ ลีก และ เอฟเอ คัพ มาอย่างละ 1 สมัย รวมถึงความเชี่ยวกรากที่ผ่านร้อนหนาวในสีเสื้อทีมชาติอย่างโชกโชน การันตีด้วยปลอกแขนกัปตันช้างศึก ชุดแชมป์ เอเอฟเอฟ ซูซูกิ คัพ 2014 อีกทั้งยังเคยไปเล่นต่างแดนกับทีมต็อตโตริ ในลีกล่างของประเทศญี่ปุ่นมาแล้วเมื่อปี 2008
เหนืออื่นใดสิ่งสำคัญที่เจ้าของแชมป์ไทยลีก 4 สมัย จะได้รับก็คือความเป็น “มืออาชีพ” ของอดุล เพราะสิ่งที่ทำให้เจ้าตัวรักษามาตรฐานการเล่นและความฟิตได้ถึงทุกวันนี้ นั่นก็คือความมีมินัยทั้งในและนอกสนาม ตัวอย่างเช่นยามพักในช่วงเข้าแคมป์ทีมชาติ แข้งรายอื่นเลือกที่จะหากิจกรรมรีแล็กซ์ทำเพื่อผ่อนคลาย แต่อดุลเลือกที่จะมุ่งตรงเข้าห้องฟิตเนส และสิ่งนี้เองจะเป็นตัวอย่างแก่เยาวชนของทีมที่จะก้าวขึ้นมาในอนาคต
ส่วนเรื่องฝีเท้ายิ่งไม่ต้องพูดถึง ห้องเครื่องพลังม้าแสดงให้เห็นแล้วว่าสามารถควบเกือกตะลุยได้ไม่มีหมด แม้ในระดับ เอเอฟซี แชมเปียนส์ ลีก ยังต้องรอพิสูจน์อยู่ แต่ในระดับประเทศอดุลยังเล่นได้สบาย และผึ้งงานตัวนี้จะช่วยสร้างแทคติกใหม่ให้กับแดนกลางของบุรีรัมย์โดยเฉพาะยามที่ต้องเน้นเกมรับ คอยไล่บดคู่ต่อสู้ คนละสไตล์กับ โก ซึล กิ และยังช่วยสแตนด์บายแทน สุเชาว์ นุชนุ่ม กัปตันทีมที่ใกล้จะโรยรา
ขณะที่ตัว “บังดุล” เองไม่มีอะไรต้องเสีย นอกจากเงินเดือนที่เพิ่มขึ้นแล้ว ยังมีโอกาสสูงที่จะเติมเต็มอาชีพด้วยเกียรติยศชื่อเสียงจากโทรฟีอีกมากมายที่เตรียมขนย้ายประดังเข้ามา และยังมีสิทธิ์ได้โลดแล่นอวดฝีเท้าในเกมระดับสโมสรเอเชียรอบสุดท้ายด้วยเช่นกัน ไม่ต่างจากอดีตเพื่อนร่วมสีเสื้อฉลามชลอย่าง สุรีย์-สุรัตน์ สุขะ ที่ตัดสินใจเลือกฝากอนาคตไว้ที่ถิ่น ไอ-โมบาย สเตเดียม ก่อนหน้า
ด้าน ชลบุรี แม้ชอกช้ำใจอยู่บ้างที่ต้องเสียผู้เล่นตัวเก่ง แต่สิ่งนี้คือวิถีฟุตบอล โดย อรรณพ สิงห์โตทอง รองประธานสโมสรฯ ออกมาเผยแล้วว่าพยายามที่จะรั้งตัวนักเตะไว้แล้ว ด้วยการมอบสัญญาใหม่ให้ แต่อดุลเลือกที่จะปฏิเสธ จึงจำเป็นต้องขายออกไป มิเช่นนั้นหากปล่อยให้หมดสัญญาที่เหลืออีกเพียงปีเดียวก็จะเสียแข้งไปแบบฟรีๆ
ซึ่งแอบได้ยินมาว่า ดีลนี้ฝั่ง “ฉลามชล” เคี่ยวไม่น้อยกว่าจะซื้อขายกันลุล่วง เพราะ “เซราะกราว” ต้องการตัวนักเตะไปใช้งาน หากรออีกปีคงจะไม่ทันการ ดังนั้นจึงน่าจะได้เม็ดเงินที่พอใจ ที่เหลือก็ขึ้นอยู่กับทีมแล้วว่าจะนำเงินที่ได้มามาใช้สอยอย่างไรให้คุ้มค่ากับการที่ต้องเสียผู้เล่นตัวหลักไป
สรุปดีลนี้คุ้มทุกฝ่าย โดยเฉพาะตัว อดุล ที่ได้ไปหาความท้าทายสมกับเป็นนักเตะอาชีพ และเชื่อว่าด้วยความมุ่งมั่นมุมานะถวายตัวเล่นเพื่อทีมอย่างที่เคยเห็นกันมาเจ้าตัวจะยังคงเป็นที่รักของแฟนบอลทั้งสองทีมแน่นอน