คอลัมน์ EYE ON SPORTS โดย กษิติ กมลนาวิน ราชวังสัน
นี่เป็นอีกฤดูกาลหนึ่งที่ ชลบุรี เอฟซี ทีมยักษ์ใหญ่แห่งภาคตะวันออก มีโอกาสคว้าแช้มพ์ โตโยต้า ไทย พรีเมียร์ ลีก ฟุตบอลลีกสูงสุดของประเทศไทย หลังจากที่เคยได้แช้มพ์หนล่าสุดนับย้อนกลับไปในฤดูกาล 2007 แล้วจากนั้นมาถึงวันนี้รวม 6 ฤดูกาลก็ต้องอกหักได้เป็นแค่ท่านรองถึง 4 หน หลุดไปรั้งอันดับ 3 ก็อีก 2 หน
โตโยต้า ไทย พรีเมียร์ ลีก 2014 เหลืออีกเพียงแค่ 6 นัดที่จะกลับมาแข่งกันในวันที่ 8 ตุลาคม และไปปิดฤดูกาลในวันที่ 2 พฤศจิกายนนี้ ซึ่งถึงตอนนี้น่าจะเหลือเพียงแค่ 2 ทีมที่จะแย่งแช้มพ์ฤดูกาลนี้ไปครอง นั่นคือ บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด แช้มพ์เก่า กับ ชลบุรี เอฟซี ซึ่งมีคะแนนเป็นรองเพียงคะแนนเดียว
คะแนนสูสีกันขนาดนี้แล้วถ้าจบฤดูกาลดันมีคะแนนเท่ากันจะตัดสินให้ใครได้แช้มพ์ อันนี้จึงเป็นประเด็นให้พูดถึงวิธีการตัดสินหาทีมแช้มพ์ ซึ่งหลักเกณฑ์ก็มีหลากหลาย ขึ้นอยู่ว่าใครเป็นคนจัดการแข่งขัน ไม่ว่าจะเป็น ฟุตบอลโลก ฟุตบอลสโมสรยุโรป ฟุตบอลสโมสรเอเชีย ฟุตบอลลีกดังๆ ของชาติในทวีปยุโรป และ โตโยต้า ไทย พรีเมียร์ ลีก
เฮ้ด-ทู-เฮ้ด (head-to-head) จะเข้ามามีบทบาทก็ตรงนี้ คำนี้ไม่เห็นมีใครแปลเป็นภาษาไทยเลย คงใช้ทับศัพท์อยู่อย่างนั้น ถ้าจะแปลง่ายๆ ก็คือ “ตัวต่อตัว” นั่นเอง มันก็คือการนำเอาผลงานส่วนใดส่วนหนึ่งคือ คะแนน ผลต่างประตูได้-เสีย จำนวนประตูได้ ฯลฯ ของการพบกันระหว่างทีมที่เกี่ยวข้องเป็นคู่กรณีกันทั้ง 2 ทีมหรืออาจมากกว่านั้นมาเปรียบเทียบกันตามลำดับ หากได้ทีมดีกว่าแล้วก็ไม่ต้องไปดูข้อเปรียบเทียบลำดับต่อไปอีก ซึ่งทีมอื่นๆ ที่ไม่ได้มีคะแนนเท่ากันด้วยก็ไม่ต้องนำมาเกี่ยวข้อง
ใน ฟุตบอลโลก นั้น ฟีฟ่า ให้ใช้ วิธีคล้าสสิค หมายถึงวิธีดั้งเดิมก่อน หากมีทีมที่มีคะแนนเท่ากัน ยังไม่ใช้ เฮ้ด-ทู-เฮ้ด แต่ดูที่ผลต่างประตูได้-เสียรวมทุกนัดที่ทีมนั้นพบกับทุกทีมในกลุ่ม ใครเหนือกว่าก็ได้อันดับดีกว่า ถ้ายังเท่ากันก็ไปดูประตูได้รวม ถ้ายังไม่ได้เรื่องคราวนี้ค่อยใช้ เฮ้ด-ทู-เฮ้ด โดยเรียงลำดับเริ่มด้วยการดูที่ผลต่างประตูได้-เสียของทีมคู่กรณี ดูที่ประตูได้ของทีมคู่กรณี และถ้ายังหาทีมที่ดีกว่าไม่ได้ก็จับสลากให้มันรู้แล้วรู้รอดไปเลย
ใน ปรีเมรา ลีกา ของ สเปน เขาใช้ เฮ้ดทูเฮ้ด เข้ามาตัดสินทันที ในกรณีที่มีคู่กรณีเพียง 2 ทีม ก็ดูที่ผลต่างประตูได้-เสียของทีมคู่กรณีที่พบกัน 2 นัด โดยไม่ใช้กฎประตูทีมเยือน แต่ถ้ามีคะแนนเท่ากันมากว่า 2 ทีม ก็มีลำดับการพิจารณาคือ คะแนน ผลต่างประตูได้-เสีย จำนวนประตูได้ ทั้งหมดนี้คิดเฉพาะนัดที่ทีมคู่กรณีพบกันเท่านั้นครับ
ถ้ายังหาทีมที่ดีกว่าไม่ได้หรือทีมคู่กรณียังแข่งไม่ครบ 2 นัดเหย้า-เยือนก็ไปดูที่ผลต่างประตูได้-เสีย หรือจำนวนประตูได้ อันนี้รวมทุกนัดที่ทีมคู่กรณีพบกับทุกทีมครับ หากปัญหายังไม่จบ คราวนี้มาดู คะแนนแฟร์เพลย์ ไล่เรียงกันมาตั้งแต่ ใบเหลือง ใบแดง ความประพฤติของ โค้ช ผู้บริหาร แฟนบอล การแบนสนามแข่งขัน จนมาถึงวิธีสุดท้ายคือ เตะนัดตัดสินในสนามกลาง
ส่วน โตโยต้า ไทย พรีเมียร์ ลีก นั้น บริษัท ไทยพรีเมียร์ลีก จำกัด (TPL) ก็ใช้ เฮ้ด-ทู-เฮ้ด เหมือนกัน แต่มันเป็น เฮ้ด-ทู-เฮ้ด ที่แตกต่างจากหลักสากล โดยขั้นแรกดูที่ผลการแข่งขันระหว่างทีมคู่กรณีเท่านั้น ไม่ได้ดูที่ประตูได้-เสีย อย่างนี้หากมี 2 ทีม ชนะ แพ้ คนละนัด หรือเสมอทั้ง 2 นัด ก็ยังตัดสินไม่ได้ ต้องไปดูข้อเปรียบเทียบลำดับต่อไปคือ จำนวนแม็ทช์ที่ชนะ ผลต่างประตูได้-เสียรวมที่ทีมคู่กรณีพบกับทุกทีม ประตูได้รวมที่ทีมคู่กรณีพบกับทุกทีม หรืออาจต้องจัดแข่งนัดตัดสินอีก 1 นัด แต่การจัดอันดับระหว่างที่การแข่งขันยังดำเนินไปไม่จบสิ้นฤดูกาลนั้น ใช้วิธีการแบบคล้าสสิค โดยเปรียบเทียบที่ คะแนนรวม ผลต่างประตูได้-เสีย และประตูได้ หรือจับสลาก ตามลำดับ
จากหลักเกณฑ์ดังกล่าว ทำให้สถานการณ์ขณะนี้ ปราสาทสายฟ้า ก็ยังได้เปรียบ เพราะมีคะแนนนำ แต่หาก ฉลามชล เกิดทำคะแนนขึ้นมาเท่ากัน นั่นอาจเป็นในกรณีที่มีผลเสมอ และ บุรีรัมย์ แพ้สัก 1 นัด และนัดอื่นๆต่างฝ่ายต่างก็เก็บคะแนนได้เท่ากัน ก็ต้องมาดูจำนวนครั้งที่ชนะ ซึ่งในขณะนี้ บุรีรัมย์ ชนะ 19 ชลบุรี ชนะ 18 แล้วถ้าผลพลิกผันดันมามีจำนวนนัดที่ชนะเท่ากัน คราวนี้ก็ต้องมาดูผลต่างประตูได้-เสียที่ บุรีรัมย์ บวกเยอะเหลือเกิน ยากที่ ชลบุรี จะกระหน่ำยิงไล่ตามทัน
* * *คลิก Like เพื่อมาเป็นแฟนเพจของหน้า “MGR SPORT” รับข่าวสารแวดวงกีฬาชนิดเกาะติดขอบสนามคลิกที่นี่เลย!!* * *
นี่เป็นอีกฤดูกาลหนึ่งที่ ชลบุรี เอฟซี ทีมยักษ์ใหญ่แห่งภาคตะวันออก มีโอกาสคว้าแช้มพ์ โตโยต้า ไทย พรีเมียร์ ลีก ฟุตบอลลีกสูงสุดของประเทศไทย หลังจากที่เคยได้แช้มพ์หนล่าสุดนับย้อนกลับไปในฤดูกาล 2007 แล้วจากนั้นมาถึงวันนี้รวม 6 ฤดูกาลก็ต้องอกหักได้เป็นแค่ท่านรองถึง 4 หน หลุดไปรั้งอันดับ 3 ก็อีก 2 หน
โตโยต้า ไทย พรีเมียร์ ลีก 2014 เหลืออีกเพียงแค่ 6 นัดที่จะกลับมาแข่งกันในวันที่ 8 ตุลาคม และไปปิดฤดูกาลในวันที่ 2 พฤศจิกายนนี้ ซึ่งถึงตอนนี้น่าจะเหลือเพียงแค่ 2 ทีมที่จะแย่งแช้มพ์ฤดูกาลนี้ไปครอง นั่นคือ บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด แช้มพ์เก่า กับ ชลบุรี เอฟซี ซึ่งมีคะแนนเป็นรองเพียงคะแนนเดียว
คะแนนสูสีกันขนาดนี้แล้วถ้าจบฤดูกาลดันมีคะแนนเท่ากันจะตัดสินให้ใครได้แช้มพ์ อันนี้จึงเป็นประเด็นให้พูดถึงวิธีการตัดสินหาทีมแช้มพ์ ซึ่งหลักเกณฑ์ก็มีหลากหลาย ขึ้นอยู่ว่าใครเป็นคนจัดการแข่งขัน ไม่ว่าจะเป็น ฟุตบอลโลก ฟุตบอลสโมสรยุโรป ฟุตบอลสโมสรเอเชีย ฟุตบอลลีกดังๆ ของชาติในทวีปยุโรป และ โตโยต้า ไทย พรีเมียร์ ลีก
เฮ้ด-ทู-เฮ้ด (head-to-head) จะเข้ามามีบทบาทก็ตรงนี้ คำนี้ไม่เห็นมีใครแปลเป็นภาษาไทยเลย คงใช้ทับศัพท์อยู่อย่างนั้น ถ้าจะแปลง่ายๆ ก็คือ “ตัวต่อตัว” นั่นเอง มันก็คือการนำเอาผลงานส่วนใดส่วนหนึ่งคือ คะแนน ผลต่างประตูได้-เสีย จำนวนประตูได้ ฯลฯ ของการพบกันระหว่างทีมที่เกี่ยวข้องเป็นคู่กรณีกันทั้ง 2 ทีมหรืออาจมากกว่านั้นมาเปรียบเทียบกันตามลำดับ หากได้ทีมดีกว่าแล้วก็ไม่ต้องไปดูข้อเปรียบเทียบลำดับต่อไปอีก ซึ่งทีมอื่นๆ ที่ไม่ได้มีคะแนนเท่ากันด้วยก็ไม่ต้องนำมาเกี่ยวข้อง
ใน ฟุตบอลโลก นั้น ฟีฟ่า ให้ใช้ วิธีคล้าสสิค หมายถึงวิธีดั้งเดิมก่อน หากมีทีมที่มีคะแนนเท่ากัน ยังไม่ใช้ เฮ้ด-ทู-เฮ้ด แต่ดูที่ผลต่างประตูได้-เสียรวมทุกนัดที่ทีมนั้นพบกับทุกทีมในกลุ่ม ใครเหนือกว่าก็ได้อันดับดีกว่า ถ้ายังเท่ากันก็ไปดูประตูได้รวม ถ้ายังไม่ได้เรื่องคราวนี้ค่อยใช้ เฮ้ด-ทู-เฮ้ด โดยเรียงลำดับเริ่มด้วยการดูที่ผลต่างประตูได้-เสียของทีมคู่กรณี ดูที่ประตูได้ของทีมคู่กรณี และถ้ายังหาทีมที่ดีกว่าไม่ได้ก็จับสลากให้มันรู้แล้วรู้รอดไปเลย
ใน ปรีเมรา ลีกา ของ สเปน เขาใช้ เฮ้ดทูเฮ้ด เข้ามาตัดสินทันที ในกรณีที่มีคู่กรณีเพียง 2 ทีม ก็ดูที่ผลต่างประตูได้-เสียของทีมคู่กรณีที่พบกัน 2 นัด โดยไม่ใช้กฎประตูทีมเยือน แต่ถ้ามีคะแนนเท่ากันมากว่า 2 ทีม ก็มีลำดับการพิจารณาคือ คะแนน ผลต่างประตูได้-เสีย จำนวนประตูได้ ทั้งหมดนี้คิดเฉพาะนัดที่ทีมคู่กรณีพบกันเท่านั้นครับ
ถ้ายังหาทีมที่ดีกว่าไม่ได้หรือทีมคู่กรณียังแข่งไม่ครบ 2 นัดเหย้า-เยือนก็ไปดูที่ผลต่างประตูได้-เสีย หรือจำนวนประตูได้ อันนี้รวมทุกนัดที่ทีมคู่กรณีพบกับทุกทีมครับ หากปัญหายังไม่จบ คราวนี้มาดู คะแนนแฟร์เพลย์ ไล่เรียงกันมาตั้งแต่ ใบเหลือง ใบแดง ความประพฤติของ โค้ช ผู้บริหาร แฟนบอล การแบนสนามแข่งขัน จนมาถึงวิธีสุดท้ายคือ เตะนัดตัดสินในสนามกลาง
ส่วน โตโยต้า ไทย พรีเมียร์ ลีก นั้น บริษัท ไทยพรีเมียร์ลีก จำกัด (TPL) ก็ใช้ เฮ้ด-ทู-เฮ้ด เหมือนกัน แต่มันเป็น เฮ้ด-ทู-เฮ้ด ที่แตกต่างจากหลักสากล โดยขั้นแรกดูที่ผลการแข่งขันระหว่างทีมคู่กรณีเท่านั้น ไม่ได้ดูที่ประตูได้-เสีย อย่างนี้หากมี 2 ทีม ชนะ แพ้ คนละนัด หรือเสมอทั้ง 2 นัด ก็ยังตัดสินไม่ได้ ต้องไปดูข้อเปรียบเทียบลำดับต่อไปคือ จำนวนแม็ทช์ที่ชนะ ผลต่างประตูได้-เสียรวมที่ทีมคู่กรณีพบกับทุกทีม ประตูได้รวมที่ทีมคู่กรณีพบกับทุกทีม หรืออาจต้องจัดแข่งนัดตัดสินอีก 1 นัด แต่การจัดอันดับระหว่างที่การแข่งขันยังดำเนินไปไม่จบสิ้นฤดูกาลนั้น ใช้วิธีการแบบคล้าสสิค โดยเปรียบเทียบที่ คะแนนรวม ผลต่างประตูได้-เสีย และประตูได้ หรือจับสลาก ตามลำดับ
จากหลักเกณฑ์ดังกล่าว ทำให้สถานการณ์ขณะนี้ ปราสาทสายฟ้า ก็ยังได้เปรียบ เพราะมีคะแนนนำ แต่หาก ฉลามชล เกิดทำคะแนนขึ้นมาเท่ากัน นั่นอาจเป็นในกรณีที่มีผลเสมอ และ บุรีรัมย์ แพ้สัก 1 นัด และนัดอื่นๆต่างฝ่ายต่างก็เก็บคะแนนได้เท่ากัน ก็ต้องมาดูจำนวนครั้งที่ชนะ ซึ่งในขณะนี้ บุรีรัมย์ ชนะ 19 ชลบุรี ชนะ 18 แล้วถ้าผลพลิกผันดันมามีจำนวนนัดที่ชนะเท่ากัน คราวนี้ก็ต้องมาดูผลต่างประตูได้-เสียที่ บุรีรัมย์ บวกเยอะเหลือเกิน ยากที่ ชลบุรี จะกระหน่ำยิงไล่ตามทัน
* * *คลิก Like เพื่อมาเป็นแฟนเพจของหน้า “MGR SPORT” รับข่าวสารแวดวงกีฬาชนิดเกาะติดขอบสนามคลิกที่นี่เลย!!* * *