เอเยนซี - ศึก พรีเมียร์ ลีก อังกฤษ สุดสัปดาห์นี้ไม่มีคู่ไหนจะน่าสนใจไปกว่า “วันแดงเดือด” ที่สนาม แอนฟิลด์ วันอาทิตย์ที่ 22 มีนาคม โดยถือเป็นแมตช์ที่เดิมพันตั๋ว ยูฟา แชมเปียนส์ ลีก เจ้าถิ่น ลิเวอร์พูล จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องชนะ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เพื่อแซงรั้งอันดับ 4 เพราะหากทำได้สำเร็จด้วยฟอร์มที่โดดเด่นนับตั้งแต่เปิดศักราชปี 2015 ก็มีโอกาสสูงที่จะเร่งเข้าป้ายสมหวังในช่วงที่เหลือ
สถานการณ์ตอนนี้ทั้ง 2 ทีมต้องลุ้นจบ “ท็อปโฟร์” ซึ่งถือว่าไม่บ่อยครั้งนักในประวัติศาสตร์ของทั้งคู่ที่ต้องมาแข่งกันเพื่อเป้าหมายนี้ แมนฯยู รั้งอันดับ 4 มี 56 แต้มทิ้ง ลิเวอร์พูล 2 แต้มจากการลงสนามเท่ากัน 29 นัด ใครชวดตั๋วใบนี้ถือว่าเสียหายหนัก “ผีแดง” ปีนี้ก็ไม่ได้ไปวาดลวดลายศึก แชมเปียนส์ ลีก ถือเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 1995 ขณะที่ “หงส์แดง” เพิ่งจะได้กลับมาเล่น แต่ตกรอบแรกจึงอยากกลับไปแก้ตัวในปีหน้าไม่อยากห่างหายไปนานๆ อีก
เหตุที่บอกว่าเกมนี้คือโอกาสทองของ ลิเวอร์พูล เพราะปีนี้ แมนฯยู เล่นนอกบ้านได้แย่ที่สุดในบรรดาสโมสรระดับหัวแถวด้วยกันชนะแค่ 4 เสมอ 7 แพ้ 3 นัด ตรงกันข้าม “หงส์แดง” ไม่แพ้ในลีกมาแล้ว 13 นัดติดต่อกันแถมเป็นการชนะถึง 10 นัด หากคว่ำ “ผีแดง” ก็จะแซงหน้า 1 แต้ม จากนั้นก็ไปลุ้นกับโปรแกรมที่เหลือพบ อาร์เซนอล, นิวคาสเซิล ยูไนเต็ด, ฮัลล์ ซิตี, เวสต์ บรอมวิช อัลเบียน, ควีนส์ ปาร์ก เรนเจอร์ส, เชลซี, คริสตัล พาเลซ และ สโต๊ก ซิตี
ด้าน แมนฯยู เสร็จภารกิจที่ แอนฟิลด์ ก็จะพบ แอสตัน วิลลา, แมนเชสเตอร์ ซิตี, เชลซี, เอฟเวอร์ตัน, เวสต์ บรอมวิช อัลเบียน, คริสตัล พาเลซ, อาร์เซนอล และ ฮัลล์ ซิตี เรียกได้ว่าลูกทีมของ หลุยส์ ฟาน กัล นายใหญ่ชาวดัตช์ของ “ผีแดง” โปรแกรมหินกว่าเป็นไหนๆ
อย่างไรก็ตาม อดัม ลัลลานา กองกลาง ลิเวอร์พูล มองว่าแมตช์กับ แมนฯยู ยังไม่ตัดสินว่าใครจะได้ไป แชมเปียนส์ ลีก “ตอนนี้สภาพจิตใจนักเตะของเราถือว่าอยู่ในระดับที่ยอดเยี่ยมมาก ถ้าชนะ แมนฯยู ก็จะแซงพร้อมขยับเข้าไปอยู่ในท็อปโฟร์ แต่จากนั้นก็ยังเหลือโปรแกรมอีก 8 นัด ซึ่งก็หมายถึงจุดพลิกผันที่อาจเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา เซาแธมป์ตัน กับ ท็อตแนม ฮอตสเปอร์ ที่มี 50 แต้มก็มองข้ามไม่ได้ ถือเป็นสถานการณ์ที่น่าตื่นเต้นอย่างยิ่ง ทำให้ผมแน่ใจว่าจะตัดสินกันถึงนัดสุดท้าย”
ลิเวอร์พูล เพิ่งบุกชนะ สวอนซี ซิตี 1-0 เมื่อวันจันทร์ที่ 16 มีนาคมที่ผ่านมา โดยเกมสุดท้ายที่แพ้ในลีกต้องย้อนไปกลางเดือนธันวาคมที่ผ่านมาก็เป็นการเจอกับ แมนฯยู ถูกยำใหญ่ 0-3 ที่ โอลด์ แทรฟฟอร์ด ส่วนการจัดทีมของ เบรนแดน ร็อดเจอร์ส นายใหญ่ “หงส์แดง” น่าสนใจ เพราะลงตัวแล้วกับระบบ 3-4-3 สตีเวน เจอร์ราร์ด กองกลางวัย 34 ปีจะได้เป็นตวจริงหรือไม่ หลังเกมที่ ลิเบอร์ตี สเตเดียม ลงมาแทน อัลเบอร์โต โมเรโน นาที 64 ซึ่งแน่นอนว่ามีกระแสอยากให้เป็นสำรองต่อไป เพราะฟอร์มของทีมกำลังยอดเยี่ยม
แนวรุกของ ลิเวอร์พูล ไม่มีอะไรต้องคิดมาก 3 ประสานเป็น ดาเนียล สเตอร์ริดจ์, ราฮีม สเตอร์ลิง และ ฟิลิปเป คูตินโญ โดยมี จอร์แดน เฮนเดอร์สัน คอยสนับสนุน ซึ่งกองกลางกัปตันทีมถิ่น แอนฟิลด์ กำลังอยู่ภายใต้ฟอร์มที่เปรี้ยงปร้างยิงมาแล้วทั้ง แมนฯซิตี, เบิร์นลีย์ และล่าสุด สวอนซี ถือว่าเริ่มฉายแววทายาทของ เจอร์ราร์ด แบบเต็มตัว
ฝั่งทีมเยือน แมนฯยู ก็เพิ่งเปิดบ้านยำใหญ่ สเปอร์ส 3-0 เมื่อวันอาทิตย์ที่ 15 มีนาคม ที่ผ่านมา ภายใต้ระบบที่น่าจะถูกใจสาวก “เรด เดวิลส์” ก็คือ 4-3-3 มี ไมเคิล คาร์ริค, มารูยาน เฟลไลนี และ อันเดร เอร์เรรา คุมกองกลาง ไม่ใช่ 3-5-2 ที่ ฟาน กัล โปรดปรานตอนออกสตาร์ทซีซัน อีกทั้ง เวย์น รูนีย์ ดาวยิงกัปตันทีม ได้รับโอกาสยืนกองหน้าเต็มตัวกลับมายิงได้อีกครั้ง เนื่องจาก โรบิน ฟาน เพอร์ซี เจ็บยาว ด้าน ราดาเมล ฟัลเกา ก็คงสำรอง ส่วนปีกยังต้องลุ้นว่าเป็นใครทั้ง ฆวน มาตา, อังเคง ดิ มาเรีย และ แอชลีย์ ยัง แต่ส่วนใหญ่ก็ยังฝากผีฝากไข้ยามคับขันไม่ได้สักราย
แมนฯยู 8 เกมหลังสุดในลีกก็ถือว่าฟอร์มไม่ธรรมดาแพ้นัดเดียวบุกไปเสียท่า สวอนซี 1-2 เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ทำให้ ยัง ปีกทีมชาติอังกฤษ เชื่อว่ามีลุ้นชนะ ลิเวอร์พูล ถึงบ้าน เพราะหากทำได้สำเร็จก็เรียกได้ว่าโอกาสคว้า “ท็อปโฟร์” ก็เปิดกว้างขึ้นไปอีก โดยกล่าวว่า “เราจะไปเยือนพร้อมมองหา 3 แต้ม เกมกับ สเปอร์ส แสดงให้เห็นแล้วว่าพร้อมแค่ไหนสำหรับการบุก แอนฟิลด์ ความมั่นใจเริ่มกลับมาหลังแพ้ อาร์เซนอล คาถิ่น 1-2 ตกรอบ 8 ทีมสุดท้าย เอฟเอ คัพ”
* * *คลิก Like เพื่อมาเป็นแฟนเพจของหน้า “MGR SPORT” รับข่าวสารแวดวงกีฬาชนิดเกาะติดขอบสนามคลิกที่นี่เลย!!* * *