คอลัมน์ “TIMEOUT” โดย “ชมณัฐ”
ถือเป็นข่าวดีในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมาของแฟนบอลชาวไทยก็ว่าได้ หลังจากที่สหพันธ์ฟุตบอลเอเชีย หรือ “เอเอฟซี” ประกาศให้ ชลบุรี บลูเวฟ แชมป์ฟุตซอลสโมสรเอเชีย 2013 และ “เจ้าอาร์ม” ศุภวุฒิ เถื่อนกลาง แข้งตัวเก่งประจำทีม ได้รับรางวัลทีมฟุตซอลยอดเยี่ยม และ นักฟุตซอลยอดเยี่ยมของเอเชีย ตามลำดับ ในการประกาศรางวัล “เอเอฟซี แอนนวล อวอร์ด 2013” ที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย
แต่ที่ทำให้แฟน “ฉลามชล” ดีใจสุดๆ ก็คงหนีไม่พ้นเรื่องที่ลูกหนังเอเชียประกาศโควตาให้ประเทศไทยได้ตั๋วลุยศึกฟุตบอลชิงแชมป์สโมสรเอเชีย หรือ “เอเอฟซี แชมเปียนส์ ลีก 2014” เพิ่มอีก 1 ใบ เป็น 1 ทีมรอบแบ่งกลุ่ม คือ บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด แชมป์ ไทย พรีเมียร์ ลีก บวกกับอีก 2 ทีมที่ได้สิทธิ์เพลย์ออฟ ในฐานะอันดับ 2 และ 3 ลีกสูงสุด คือ เอสซีจี เมืองทอง ยูไนเต็ด กับ ชลบุรี เอฟซี ซึ่งอานิสงส์ที่ทำให้ประเทศไทยได้โควตาเพิ่มขึ้นมาคงต้องยกเครดิตให้ “ปราสาทสายฟ้า” ที่ทำผลงานทะลุถึงรอบ 8 ทีมสุดท้ายในซีซันที่แล้ว รวมถึงการประเมินสนามของ 6 สโมสรไทยในปีที่ผ่านมาที่เป็นไปในทิศทางบวกด้วยเช่นกัน
สำหรับ 3 ทีมจากประเทศไทยในครั้งนี้ บุรีรัมย์ คงไม่น่ากังวลเท่าไหร่นัก เพราะประสบการณ์ที่ผ่านมาเป็นตัวบ่งชี้ได้ชัดเจนว่าทีมควรจะปรับปรุงจุดไหนเพื่อต่อกรกับบรรดายักษ์ใหญ่ในทวีป แต่ฟาก “กิเลนผยอง” กับ “ฉลามชล” แม้จะได้สิทธิ์เข้าไปเล่นในถ้วยใหญ่และถ้วยเล็กแทบจะปีเว้นปี แต่ผลงานก็ยังลุ่มๆ ดอนๆ ปี 2011 เมืองทองฯ บุกไปพ่ายจุดโทษค่อ ศรีวิจายา แชมป์ เอฟ เอ คัพ จากอินโดนีเซีย ร่วงรอบเพลย์ออฟ และได้สิทธิ์ไปสู้ต่อในศึกเอเอฟซี คัพ แต่ก็พลาดท่าต่อ คูเวต เอสซี สกอร์รวมสองนัดแพ้ 0-1 ยุติเพียงแค่รอบก่อนรองชนะเลิศ ส่วน ชลบุรี ที่ได้สิทธิ์ถ้วยเล็กก็ต้าน นาซาฟ คาร์ชี จากอุซเบกิสถาน ไม่อยู่พ่ายจุดโทษในรอบเดียวกันกลับบ้านตามกันไป
ขณะที่ ปี 2012 “ฉลามชล” ได้สิทธิ์เพลย์ออฟถ้วยใหญ่ แต่ก็พ่ายต่อ โปฮัง สตีลเลอส์ จากเกาหลีใต้ 0-2 พอไปต่อที่ถ้วยเล็กก็ฝันสลายแค่รอบตัดเชือก 4 ทีมสุดท้าย โดน อาร์บิล เอสซี จากอิรัก สอนเชิงรวมสองนัด 2-8 ต่อมาปี 2013 “กิเลน” ได้โควตารอบแบ่งกลุ่ม แต่ก็ไม่สามารถแสดงศักยภาพแชมป์ไร้พ่ายได้ 6 นัด แพ้ 5 เสมอ 1 โดนถลุงไป 17 ประตู เก็บกระเป๋าในที่สุด
ส่วนปีหน้า 2014 ทั้งสองทีมมีสิทธิ์จะต้องเจอคู่ต่อกรในสายเอเชียตะวันออกที่ได้สิทธิ์เพลย์ออฟเช่นเดียวกันอีก 6 ทีม อย่าง แทมปิเนส โรเวอร์ส (แชมป์ เอส-ลีก สิงคโปร์), ฮานอย ทีแอนด์ที (แชมป์ วี-ลีก เวียดนาม), เซาท์ ไชน่า (แชมป์ ดิวิชัน 1 ฮ่องกง ปี 2012/2013), เมลเบิร์น วิคตอรี (อันดับ 3 เอ-ลีก ออสเตรเลีย ปี 2012/2013), ปักกิ่ง กั๋วอัน (อันดับ 3 ไชนีส ซูเปอร์ ลีก) และ ปูเน (อันดับ 2 ไอ-ลีก อินเดีย)
ทั้งนี้หากกวาดตาดูจะพบว่า 2 ทีมจากอาเซียนที่ได้ร่วมโม่แข้งนั้นล้วนไม่ธรรมดาเช่นกัน แทมปิเนส มี คาห์อิรูล อัมริ กับ อเล็กซานดาร์ ดูริค 2 แข้งทีมชาติสิงคโปร์ที่เคยฝากผลงานปราบไทยในซูซูกิ คัพ 2012 เป็นตัวชูโรง ขณะที่ ฮานอย มี กอนซาโล ดาเมียล หอกอาร์เจนไตน์ กับ แซมซัน คาโยเด ศูนย์หน้าไนจีเรีย ที่ยิงรวมกันในลีก 31 ประตูเป็นทีเด็ด ยังไม่รวม เมลเบิร์น กับ ปักกิ่ง ที่มีอาวุธแข้งให้ใช้งานหลากหลาย ดังนั้นจึงประมาทไม่ได้เลย
โดยทั้งหมดจะมีการจับสลากประกบคู่อย่างเป็นทางการวันที่ 10 ธันวาคม นี้ และหวดกัน 2 รอบ วันที่ 8-9 กุมภาพันธ์ และ 15 กุมภาพันธ์ ศกหน้า เพื่อคัดเอา 2 ทีมผ่านเข้าสู่รอบแบ่งกลุ่ม
ถือเป็นข่าวดีในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมาของแฟนบอลชาวไทยก็ว่าได้ หลังจากที่สหพันธ์ฟุตบอลเอเชีย หรือ “เอเอฟซี” ประกาศให้ ชลบุรี บลูเวฟ แชมป์ฟุตซอลสโมสรเอเชีย 2013 และ “เจ้าอาร์ม” ศุภวุฒิ เถื่อนกลาง แข้งตัวเก่งประจำทีม ได้รับรางวัลทีมฟุตซอลยอดเยี่ยม และ นักฟุตซอลยอดเยี่ยมของเอเชีย ตามลำดับ ในการประกาศรางวัล “เอเอฟซี แอนนวล อวอร์ด 2013” ที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย
แต่ที่ทำให้แฟน “ฉลามชล” ดีใจสุดๆ ก็คงหนีไม่พ้นเรื่องที่ลูกหนังเอเชียประกาศโควตาให้ประเทศไทยได้ตั๋วลุยศึกฟุตบอลชิงแชมป์สโมสรเอเชีย หรือ “เอเอฟซี แชมเปียนส์ ลีก 2014” เพิ่มอีก 1 ใบ เป็น 1 ทีมรอบแบ่งกลุ่ม คือ บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด แชมป์ ไทย พรีเมียร์ ลีก บวกกับอีก 2 ทีมที่ได้สิทธิ์เพลย์ออฟ ในฐานะอันดับ 2 และ 3 ลีกสูงสุด คือ เอสซีจี เมืองทอง ยูไนเต็ด กับ ชลบุรี เอฟซี ซึ่งอานิสงส์ที่ทำให้ประเทศไทยได้โควตาเพิ่มขึ้นมาคงต้องยกเครดิตให้ “ปราสาทสายฟ้า” ที่ทำผลงานทะลุถึงรอบ 8 ทีมสุดท้ายในซีซันที่แล้ว รวมถึงการประเมินสนามของ 6 สโมสรไทยในปีที่ผ่านมาที่เป็นไปในทิศทางบวกด้วยเช่นกัน
สำหรับ 3 ทีมจากประเทศไทยในครั้งนี้ บุรีรัมย์ คงไม่น่ากังวลเท่าไหร่นัก เพราะประสบการณ์ที่ผ่านมาเป็นตัวบ่งชี้ได้ชัดเจนว่าทีมควรจะปรับปรุงจุดไหนเพื่อต่อกรกับบรรดายักษ์ใหญ่ในทวีป แต่ฟาก “กิเลนผยอง” กับ “ฉลามชล” แม้จะได้สิทธิ์เข้าไปเล่นในถ้วยใหญ่และถ้วยเล็กแทบจะปีเว้นปี แต่ผลงานก็ยังลุ่มๆ ดอนๆ ปี 2011 เมืองทองฯ บุกไปพ่ายจุดโทษค่อ ศรีวิจายา แชมป์ เอฟ เอ คัพ จากอินโดนีเซีย ร่วงรอบเพลย์ออฟ และได้สิทธิ์ไปสู้ต่อในศึกเอเอฟซี คัพ แต่ก็พลาดท่าต่อ คูเวต เอสซี สกอร์รวมสองนัดแพ้ 0-1 ยุติเพียงแค่รอบก่อนรองชนะเลิศ ส่วน ชลบุรี ที่ได้สิทธิ์ถ้วยเล็กก็ต้าน นาซาฟ คาร์ชี จากอุซเบกิสถาน ไม่อยู่พ่ายจุดโทษในรอบเดียวกันกลับบ้านตามกันไป
ขณะที่ ปี 2012 “ฉลามชล” ได้สิทธิ์เพลย์ออฟถ้วยใหญ่ แต่ก็พ่ายต่อ โปฮัง สตีลเลอส์ จากเกาหลีใต้ 0-2 พอไปต่อที่ถ้วยเล็กก็ฝันสลายแค่รอบตัดเชือก 4 ทีมสุดท้าย โดน อาร์บิล เอสซี จากอิรัก สอนเชิงรวมสองนัด 2-8 ต่อมาปี 2013 “กิเลน” ได้โควตารอบแบ่งกลุ่ม แต่ก็ไม่สามารถแสดงศักยภาพแชมป์ไร้พ่ายได้ 6 นัด แพ้ 5 เสมอ 1 โดนถลุงไป 17 ประตู เก็บกระเป๋าในที่สุด
ส่วนปีหน้า 2014 ทั้งสองทีมมีสิทธิ์จะต้องเจอคู่ต่อกรในสายเอเชียตะวันออกที่ได้สิทธิ์เพลย์ออฟเช่นเดียวกันอีก 6 ทีม อย่าง แทมปิเนส โรเวอร์ส (แชมป์ เอส-ลีก สิงคโปร์), ฮานอย ทีแอนด์ที (แชมป์ วี-ลีก เวียดนาม), เซาท์ ไชน่า (แชมป์ ดิวิชัน 1 ฮ่องกง ปี 2012/2013), เมลเบิร์น วิคตอรี (อันดับ 3 เอ-ลีก ออสเตรเลีย ปี 2012/2013), ปักกิ่ง กั๋วอัน (อันดับ 3 ไชนีส ซูเปอร์ ลีก) และ ปูเน (อันดับ 2 ไอ-ลีก อินเดีย)
ทั้งนี้หากกวาดตาดูจะพบว่า 2 ทีมจากอาเซียนที่ได้ร่วมโม่แข้งนั้นล้วนไม่ธรรมดาเช่นกัน แทมปิเนส มี คาห์อิรูล อัมริ กับ อเล็กซานดาร์ ดูริค 2 แข้งทีมชาติสิงคโปร์ที่เคยฝากผลงานปราบไทยในซูซูกิ คัพ 2012 เป็นตัวชูโรง ขณะที่ ฮานอย มี กอนซาโล ดาเมียล หอกอาร์เจนไตน์ กับ แซมซัน คาโยเด ศูนย์หน้าไนจีเรีย ที่ยิงรวมกันในลีก 31 ประตูเป็นทีเด็ด ยังไม่รวม เมลเบิร์น กับ ปักกิ่ง ที่มีอาวุธแข้งให้ใช้งานหลากหลาย ดังนั้นจึงประมาทไม่ได้เลย
โดยทั้งหมดจะมีการจับสลากประกบคู่อย่างเป็นทางการวันที่ 10 ธันวาคม นี้ และหวดกัน 2 รอบ วันที่ 8-9 กุมภาพันธ์ และ 15 กุมภาพันธ์ ศกหน้า เพื่อคัดเอา 2 ทีมผ่านเข้าสู่รอบแบ่งกลุ่ม