คอลัมน์ “สกอร์บอร์ด” โดย “แมวดำ”
พลันที่ได้ยินอดีตรัฐมนตรีหลายกระทรวงผู้มีอำนาจในพรรคการเมืองหนึ่งซึ่งดูแลงานด้านกีฬาของชาติ เรื่องการแสดงความไม่เห็นด้วยต่อกรณีที่การกีฬาแห่งประเทศไทย หรือ “กกท.” ตั้งเกณฑ์มอบเงินสนับสนุนสโมสรฟุตบอลในลีกภูมิภาค ในงวดที่ 2 จำนวน 1 ล้านบาท ที่อาจมีการนำเรื่อง “คลับไลเซนซิง” มาเป็นเกณฑ์ ในการกำหนดเกรดของแต่ละทีมว่าอยู่ในระดับ เอ, บี, หรือ ซี ซึ่งอาจจะมีบางทีมได้เงินไม่ครบ 1 ล้านบาทในงวดนี้ พร้อมกับยืนยันว่าจะมอบเงินให้ลีกภูมิภาคเพิ่มขึ้นในทุกปีเป็น 3 ล้าน, 4 ล้าน และ 5 ล้านบาทนั้น สร้างความมึนงงไม่น้อยทีเดียว
ซึ่งล่าสุด “คุณหนุ่ม” กนกพันธุ์ จุลเกษม ผู้ว่าการ “กกท.” จำเป็นต้องออกมาตอบแบบแบ่งรับแบ่งสู้ว่า เรื่องดังกล่าวนั้นจำเป็นต้องนำเรื่อง “คลับไลเซนซิง” มาเป็นเกณฑ์ในการประเมิน เพราะเป็นสิ่งที่สหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ หรือ “ฟีฟา” ให้การยอมรับและใช้เป็นมาตรฐานมาโดยตลอด ซึ่งหากเราไม่ใช้ เราก็ต้องไปตอบกับสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินให้ได้ว่าเราใช้เกณฑ์ใดในการพิจารณาเงินดังกล่าว แต่ทั้งนี้คงไม่ได้เข้มงวดมากนัก อาจจะใช้แค่ 20 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น ซึ่งมองดูแล้วว่าหลายๆสโมสรน่าจะได้เต็มวงเงินแน่นอน
ดูเผินๆ ข้อเสนอของนักการเมืองคนดังกล่าวก็ฟังดูดีนะครับ ว่าเงินสนับสนุนทีมควรได้รับเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เพื่อประคองทีมให้อยู่ได้และดำเนินการใช้จ่ายให้เกิดสภาพคล่องภายในสโมสรฟุตบอล แต่หากพินิจพิเคราะห์ มองดูรายชื่อสโมสรฟุตบอลต่างๆ ในลีกภูมิภาคทั้ง 6 ภูมิภาค เกือบร้อยทั้งร้อยมีปัญญาการจัดการไม่น้อย เมื่อทีมเหล่านี้ล้วนมีสภาพไม่ต่างจากของเล่นของเหล่าบรรดานักการเมืองท้องถิ่น ซึ่งมันเป็นเรื่องหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะปฏิเสธรากฐานในระบบอุปถัมภ์อันเก่าแก่เช่นนี้ออกไป มันไม่ต่างกับการที่นักการเมืองจ้างโปรโมเตอร์จัดการแข่งขันชกมวย แล้วตัวเองนั่งเป็นประธานจัดการแข่งขัน ก่อนขึ้นชกก็มอบทอง มอบป้าย ถ่ายภาพ ถ่ายทอดสดออกสื่อกันไปทั่วประเทศ เรียกคะแนนนิยมในตัวเองมากกว่าอยากพัฒนาวงการกีฬา
และการที่การกีฬาแห่งประเทศไทย นำงบประมาณมาสนับสนุนการพัฒนาฟุตบอลลีกในภูมิภาคนั้นดีแน่นอน แต่ทุกอย่างต้องมีระยะเวลา และขอบเขต จำได้ไม่เคยลืมว่าเคยคุยเรื่องนี้กับ “ผู้ว่าการ กกท.” มานานแล้ว ว่าการช่วยเหลือเรื่องเงินในลีกทั้งหลายจะต้องกำหนดเงื่อนเวลา เพื่อให้แต่ละสโมสรจัดการตัวเองให้เป็นระบบอาชีพ พร้อมกับสามารถเลี้ยงตัวเองให้ได้ในระยะเวลาข้างหน้า พร้อมกับการนำเกณฑ์ “คลับไลเซนซิง” มาเพื่อประเมินมาตรฐานว่ามีการจัดการภายในเป็นอย่างไร ทีมใดจัดการได้ดีก็ควรได้รับเต็มวงเงิน เพราะถือเป็นรางวัลแห่งการพัฒนา
ดังนั้นการที่มีนักการเมืองออกมาทุบโต๊ะว่า นำ “คลับไลเซนซิง” มาใช้ไม่ได้ แสดงให้เห็นได้ชัดว่านักการเมืองคนนั้นขาดความรู้ และความเข้าใจในเรื่องของกีฬาอาชีพอย่างแท้จริง ที่สำคัญคือเรามีคนแบบนี้จำนวนมากที่มีอำนาจ แต่ขาดความรู้ในการกำหนดทิศทางที่ถูกต้อง น่าสงสารที่พวกเราต้องอดทนกับความไม่รู้นี้ไปอีกนาน...แค่ไหนก็ไม่รู้
พลันที่ได้ยินอดีตรัฐมนตรีหลายกระทรวงผู้มีอำนาจในพรรคการเมืองหนึ่งซึ่งดูแลงานด้านกีฬาของชาติ เรื่องการแสดงความไม่เห็นด้วยต่อกรณีที่การกีฬาแห่งประเทศไทย หรือ “กกท.” ตั้งเกณฑ์มอบเงินสนับสนุนสโมสรฟุตบอลในลีกภูมิภาค ในงวดที่ 2 จำนวน 1 ล้านบาท ที่อาจมีการนำเรื่อง “คลับไลเซนซิง” มาเป็นเกณฑ์ ในการกำหนดเกรดของแต่ละทีมว่าอยู่ในระดับ เอ, บี, หรือ ซี ซึ่งอาจจะมีบางทีมได้เงินไม่ครบ 1 ล้านบาทในงวดนี้ พร้อมกับยืนยันว่าจะมอบเงินให้ลีกภูมิภาคเพิ่มขึ้นในทุกปีเป็น 3 ล้าน, 4 ล้าน และ 5 ล้านบาทนั้น สร้างความมึนงงไม่น้อยทีเดียว
ซึ่งล่าสุด “คุณหนุ่ม” กนกพันธุ์ จุลเกษม ผู้ว่าการ “กกท.” จำเป็นต้องออกมาตอบแบบแบ่งรับแบ่งสู้ว่า เรื่องดังกล่าวนั้นจำเป็นต้องนำเรื่อง “คลับไลเซนซิง” มาเป็นเกณฑ์ในการประเมิน เพราะเป็นสิ่งที่สหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ หรือ “ฟีฟา” ให้การยอมรับและใช้เป็นมาตรฐานมาโดยตลอด ซึ่งหากเราไม่ใช้ เราก็ต้องไปตอบกับสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินให้ได้ว่าเราใช้เกณฑ์ใดในการพิจารณาเงินดังกล่าว แต่ทั้งนี้คงไม่ได้เข้มงวดมากนัก อาจจะใช้แค่ 20 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น ซึ่งมองดูแล้วว่าหลายๆสโมสรน่าจะได้เต็มวงเงินแน่นอน
ดูเผินๆ ข้อเสนอของนักการเมืองคนดังกล่าวก็ฟังดูดีนะครับ ว่าเงินสนับสนุนทีมควรได้รับเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เพื่อประคองทีมให้อยู่ได้และดำเนินการใช้จ่ายให้เกิดสภาพคล่องภายในสโมสรฟุตบอล แต่หากพินิจพิเคราะห์ มองดูรายชื่อสโมสรฟุตบอลต่างๆ ในลีกภูมิภาคทั้ง 6 ภูมิภาค เกือบร้อยทั้งร้อยมีปัญญาการจัดการไม่น้อย เมื่อทีมเหล่านี้ล้วนมีสภาพไม่ต่างจากของเล่นของเหล่าบรรดานักการเมืองท้องถิ่น ซึ่งมันเป็นเรื่องหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะปฏิเสธรากฐานในระบบอุปถัมภ์อันเก่าแก่เช่นนี้ออกไป มันไม่ต่างกับการที่นักการเมืองจ้างโปรโมเตอร์จัดการแข่งขันชกมวย แล้วตัวเองนั่งเป็นประธานจัดการแข่งขัน ก่อนขึ้นชกก็มอบทอง มอบป้าย ถ่ายภาพ ถ่ายทอดสดออกสื่อกันไปทั่วประเทศ เรียกคะแนนนิยมในตัวเองมากกว่าอยากพัฒนาวงการกีฬา
และการที่การกีฬาแห่งประเทศไทย นำงบประมาณมาสนับสนุนการพัฒนาฟุตบอลลีกในภูมิภาคนั้นดีแน่นอน แต่ทุกอย่างต้องมีระยะเวลา และขอบเขต จำได้ไม่เคยลืมว่าเคยคุยเรื่องนี้กับ “ผู้ว่าการ กกท.” มานานแล้ว ว่าการช่วยเหลือเรื่องเงินในลีกทั้งหลายจะต้องกำหนดเงื่อนเวลา เพื่อให้แต่ละสโมสรจัดการตัวเองให้เป็นระบบอาชีพ พร้อมกับสามารถเลี้ยงตัวเองให้ได้ในระยะเวลาข้างหน้า พร้อมกับการนำเกณฑ์ “คลับไลเซนซิง” มาเพื่อประเมินมาตรฐานว่ามีการจัดการภายในเป็นอย่างไร ทีมใดจัดการได้ดีก็ควรได้รับเต็มวงเงิน เพราะถือเป็นรางวัลแห่งการพัฒนา
ดังนั้นการที่มีนักการเมืองออกมาทุบโต๊ะว่า นำ “คลับไลเซนซิง” มาใช้ไม่ได้ แสดงให้เห็นได้ชัดว่านักการเมืองคนนั้นขาดความรู้ และความเข้าใจในเรื่องของกีฬาอาชีพอย่างแท้จริง ที่สำคัญคือเรามีคนแบบนี้จำนวนมากที่มีอำนาจ แต่ขาดความรู้ในการกำหนดทิศทางที่ถูกต้อง น่าสงสารที่พวกเราต้องอดทนกับความไม่รู้นี้ไปอีกนาน...แค่ไหนก็ไม่รู้