xs
xsm
sm
md
lg

คุณสมบัติพร้อม"โค้ชหรั่ง"หวังคุม"กกท."

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

โค้ชหรั่ง ชาญวิทย์ ผลชีวิน
"โค้ชหรั่ง" ชาญวิทย์ ผลชีวิน อดีตผู้ฝึกสอนทีมลูกหนังทีมชาติไทย ประกาศตัวลงชิงตำแหน่งผู้ว่าการการกีฬาแห่งประเทศไทย พร้อมเสนอนโยบาย 11 ข้อ วงในเผยชวดลุ้นเก้าอี้อธิบดีกรมพลศึกษา จึงหวังข้ามห้วยมานั่งทำงานที่"กกท."แทน

หลังจากที่นายกนกพันธุ์ จุลเกษม ผู้ว่าการการกีฬาแห่งประเทศไทย คนปัจจุบัน จะครบวาระการดำรงตำแหน่งในวันที่ 30 มิถุนายน 2557 ทำให้คณะกรรมการการกีฬาแห่งประเทศไทย หรือ "บอร์ด กกท." มีการตั้งคณะกรรมการสรรหา โดยมี ดร.สุวัตร สิทธิหล่อ ปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา นั่งเป็นประธาน พร้อมมีการกำหนดเปิดรับผู้สมัครระหว่างวันที่ 1-30 สิงหาคมนี้

ซึ่ง "โค้ชหรั่ง" ชาญวิทย์ ผลชีวิน อดีตโค้ชทีมชาติไทย และรองอธิบดีกรมพลศึกษา เปิดเผยว่าได้ยื่นใบสมัครเพื่อเสนอตัวในการเป็นผู้ว่า "กกท." เป็นที่เรียบร้อยแล้วตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคมที่ผ่านมา "ตอนนี้ผมคิดว่าพร้อมแล้ว ที่ผ่านมาให้ความสนใจตำแหน่งนี้มานาน อีกทั้งยังได้รับคำแนะนำจากผู้บริหารระดับสูงในกระทรวงท่องเที่ยวและกีฬา ซึ่งผมเองก็คิดว่าจะสามารถนำประสบการณ์ ความรู้ และความสามารถต่างๆ ที่เคยผ่านมา นำมาช่วยยกระดับวงการกีฬาไทยได้"

นอกจากนี้อดีตกุนซือทีมชาติไทย กล่าวต่อไปด้วยว่า "ผมมีนโยบายคร่าวๆ 11 ข้อ อาทิ การแก้ไขปรับปรุงระเบียบสมาคมกีฬาต่างๆ ที่ปัจจุบันมีปัญหามาก ยกตัวอย่างสมาคมฟุตบอลฯ หรือสมาคมอื่นๆ ที่มักมีปัญหาว่ากฎระเบียบมันสอดรับกับองค์กรกีฬาระดับชาติ รวมไปถึงความขัดแย้งต่างๆ ในวงการกีฬาที่มีให้เห็นมากมาย นอกจากนี้ยังสนับสนุนการพัฒนากีฬาไปสู่ระดับอาชีพในทุกภาคส่วนอีกด้วย"

"โค้ชหรั่ง" ยังกล่าวถึงนโยบายสำคัญที่เร่งด่วน หากเข้ารับตำแหน่งผู้ว่า กกท.ว่า "ผมมีนโยบายในการผลักดันกีฬาในประเทศสู่ความเป็นเลิศในทุกๆด้าน เพื่อพัฒนาสู่การแข่งขันระดับกีฬาแห่งชาติ หรือแม้กระทั่งซีเกมส์, เอเชียนเกมส์ หรือโอลิมปิกเกมส์ต่อไป ส่วนด้านกีฬาอาชีพ ยอมรับว่าในประเทศไทยมีจำนวนน้อยมาก เนื่องจากมีแค่ 13 ชนิดเท่านั้น และกีฬาบางประเภทยังไม่เป็นอาชีพที่แท้จริง อาทิ สนุกเกอร์, ฟุตซอล และอื่นๆอีกมากมาย ที่ไม่สามารถทำได้เต็มรูปแบบ"

ขณะเดียวกันมีการเปิดเผยจากแหล่งข่าววงในเชื่อว่าสาเหตุที่ "โค้ชหรั่ง" ลงชิงตำแหน่งผู้ว่า กกท. ในครั้งนี้ เนื่องจาก 2 ปัจจัยด้วยกัน ประการแรกคือ นางแสงจันทร์ วรสุมันต์ อธิบดีกรมพลศึกษา จะเกษียณในปี 2558 ขณะที่รองอธิบดีอย่าง "โค้ชหรั่ง" เมื่อถึงเวลานั้นจะเหลืออายุราชการเพียง 1 ปี ซึ่งหมายความว่าอดีตกุนซือทีมชาติไทยรายนี้อาจจะไปไม่ถึงตำแหน่งอธิบดีฯ และประการถัดมา คือได้รับไฟเขียวจากผู้ใหญ่ในกระทรวงกีฬาฯ ที่มองว่า "โค้ชหรั่ง" สามารถทำงานประสานงานกับทุกฝ่ายได้ เนื่องจากเป็นคนมีอัธยาศัยดี และเป็นที่รักของหลายฝ่ายด้วยกัน
กำลังโหลดความคิดเห็น