คอลัมน์ “ริงไซด์ ไฟต์คลับ” โดย “ลักษมณ์ นันทิวัชรินทร์”
สัปดาห์ที่ผ่านมาเพิ่งเขียนถึงยอดมวยแดนมังกรอย่าง “ซู ซิหมิง” ที่ขึ้นชกในแบบอาชีพเป็นไฟต์ที่สองในรุ่นฟลายเวต 112 ปอนด์ ก่อนคว้าชัยชนะมาได้สมใจทีมผู้สร้างและได้ทิ้งท้ายไว้ว่านักมวยไทยรุ่นนี้ก็มีหลายคน ถ้าใครเข้าตาถูกดึงไปเป็นคู่ชกก็มีโอกาสรับทรัพย์และถ้าฝีมือถึงจริงก็จะได้ล้างแค้นให้พี่น้องชาวไทยด้วย
พอมาปลายๆ สัปดาห์ อดีตแชมป์โลกตัวจริงในรุ่นนี้อย่าง “เจ้าน้อย” คมพยัคฆ์ ซีพีเฟรชมาร์ท ก็มีคิวขึ้นป้องกันตำแหน่งแชมป์เฉพาะกาลของสมาคมมวยโลก WBA กับนักมวยญี่ปุ่น โกกิ เอโตะ เจ้าของส่วนสูง 174 ซม.ที่สร้างความตื่นตะลึงไปทั้งวงการเมื่อสามารถทำน้ำหนัก 112 ปอนด์ได้อย่างสบาย
นอกจากทำน้ำหนักได้ทั้งๆ ที่สูงโย่งโก๊ะขนาดนั้นแล้ว โกกิ ยังยืนระยะครบ 12 ยกแม้จะขึ้นเวทีช่วงบ่ายตามแบบฉบับมวยโลกบ่ายสามบ้านเรา ที่สำคัญสาวหมัดได้ไม่หยุด ออกหมัดได้เน้นๆ เนื้อๆ เข้าเป้าตรงๆ จนเจ้าของเข็มขัดชาวไทยหน้าหงายไปหงายมา แถมมาได้นับในยกสุดท้ายอีก ไล่ต่อยจน “เจ้าน้อย” จะไปมิไปแหล่ ดีที่ระฆังช่วยไว้ทัน และคมพยัคฆ์ก็แพ้คะแนนไปเป็นเอกฉันท์ แต่กรรมการสองท่านให้แพ้เพียง 113-114 เรียกว่าถ้ายกสุดท้ายไม่โดนนับอาจรักษาเข็มขัดไว้ได้และมีความหวังที่จะก้าวไปท้าชิงตำแหน่งแชมป์ตัวจริงของตัวเองได้อีก
ดูจากไฟต์นี้แล้ว จะเห็นว่าอดีตแชมป์ชาวไทยมีเลือดนักสู้จริงๆ แม้จะเสียเปรียบรูปร่าง แต่ก็พยายามเดินเข้าใส่ตลอด แต่ต้องยอมรับว่าคมพยัคฆ์ปล่อยหมัดไม่ค่อยเข้าเป้า ติดการ์ดเป็นส่วนใหญ่ ไม่มีหมัดนำ ไม่มีหมัดชุด ซึ่งเรื่องนี้เชื่อว่าแฟนมวยชาวไทยเห็นกันมานานและวิจารณ์กันจนเบื่อแล้ว และไม่ใช่เป็นปัญหาของคมพยัคฆ์เท่านั้น แต่เป็นอาการเดียวกับนักมวยไทยแทบทุกคนในตอนนี้
อีกจุดที่แฟนมวยเห็นแล้วก็ทรมานแทน ก็คือการป้องกันตัวของนักมวยเราทำได้ไม่ดีเลยจริงๆ ตอนออกหมัดการ์ดเราจะตกตลอด และนักมวยญี่ปุ่นก็เตรียมตัวมาดีชิงจังหวะออกหมัดได้เข้าเป้าตลอด สร้างความบอบช้ำให้กับ “เจ้าน้อย” อย่างมาก แล้วเวลาเดินเข้าหาก็เดินทื่อๆ ตัวแข็งๆ โดนเขาวัดระยะแล้วจิ้มสบาย อีกอย่างก็คือเราป้องกันหมัดอัปเปอร์คัทหรือหมัดล้วงไม่ได้เลย จริงๆ หมัดนี้มันชัดเจนอยู่แล้ว เราตัวเตี้ยกว่าเขา เขาจะต่อยเราได้ถนัดที่สุดก็ต้องเป็นหมัดอัปเปอร์คัทนี่แหละ น่าจะเตรียมตัวให้ดีกว่านี้ในเรื่องหมัดนี้
งานนี้ก็แพ้จริงๆ พูดกันตรงๆ ผมยังคิดว่าคะแนนน่าจะห่างกว่านี้ ยกแรกเปิดมาคมพยัคฆ์ก็โดนจ้วงเต็มๆ จนร่วง แต่กรรมการไม่นับ ผู้บรรยายก็บอกว่าเป็นการเสียหลัก ผมว่าเสียหลักเพราะโดนหมัดสิครับ จริงๆ แล้วหมัดนี้ควรโดนนับ นี่เป็นอีกเรื่องที่วงการมวยบ้านเรายังก้าวไม่พ้น คือเรื่องการตัดสินและการให้คะแนน ไฟต์นี้ดูกันจริงๆ คมพยัคฆ์ โดนตลอด หายกชนะไม่ค่อยจะได้ แต่สุดท้ายกรรมการสองท่านให้แพ้คะแนนเดียวจากการโดนนับในยกสุดท้าย นี่ถ้ากรรมการใจแข็งไม่นับนี่ญี่ปุ่นแพ้เลย และจะเป็นเรื่องให้คุยเรื่องความกังขาการตัดสินมวยโลกในบ้านเราได้อีก ซึ่งก็เคยมีมาแล้วที่นักมวยเราโดนต่อยล้มคว่ำล้มหงาย โดน 4 นับแต่ครบยกชนะคะแนน เจ้าน้อยโดนนับเดียวถือเป็นเรื่องสิวๆ
อันนี้ก็คงต้องแล้วแต่ทีมงานและผู้สร้าง ถ้านักมวยเราไม่ไหวจริงๆ จะช่วยด้วยการตัดสินก็คงไปไหนไม่ได้ไกล สมัยก่อนมีเรียกมวยสร้างแบบนี้ว่ามวยสร้างหนี้สร้างสินมากกว่า แต่เข้าใจว่ายุคนี้จะหาสปอนเซอร์ได้ต้องชนะไว้ก่อน เราก็เลยมีแต่นักมวยที่ฝีมืออวดชาวโลกได้จริงๆ ไม่ค่อยจะได้และจะให้แฟนมวยมีศรัทธาจริงๆ ก้าวขึ้นมาเป็นขวัญใจแฟนมวยชาวไทยจริงๆ ก็คงลำบากมาก
สัปดาห์ที่ผ่านมาเพิ่งเขียนถึงยอดมวยแดนมังกรอย่าง “ซู ซิหมิง” ที่ขึ้นชกในแบบอาชีพเป็นไฟต์ที่สองในรุ่นฟลายเวต 112 ปอนด์ ก่อนคว้าชัยชนะมาได้สมใจทีมผู้สร้างและได้ทิ้งท้ายไว้ว่านักมวยไทยรุ่นนี้ก็มีหลายคน ถ้าใครเข้าตาถูกดึงไปเป็นคู่ชกก็มีโอกาสรับทรัพย์และถ้าฝีมือถึงจริงก็จะได้ล้างแค้นให้พี่น้องชาวไทยด้วย
พอมาปลายๆ สัปดาห์ อดีตแชมป์โลกตัวจริงในรุ่นนี้อย่าง “เจ้าน้อย” คมพยัคฆ์ ซีพีเฟรชมาร์ท ก็มีคิวขึ้นป้องกันตำแหน่งแชมป์เฉพาะกาลของสมาคมมวยโลก WBA กับนักมวยญี่ปุ่น โกกิ เอโตะ เจ้าของส่วนสูง 174 ซม.ที่สร้างความตื่นตะลึงไปทั้งวงการเมื่อสามารถทำน้ำหนัก 112 ปอนด์ได้อย่างสบาย
นอกจากทำน้ำหนักได้ทั้งๆ ที่สูงโย่งโก๊ะขนาดนั้นแล้ว โกกิ ยังยืนระยะครบ 12 ยกแม้จะขึ้นเวทีช่วงบ่ายตามแบบฉบับมวยโลกบ่ายสามบ้านเรา ที่สำคัญสาวหมัดได้ไม่หยุด ออกหมัดได้เน้นๆ เนื้อๆ เข้าเป้าตรงๆ จนเจ้าของเข็มขัดชาวไทยหน้าหงายไปหงายมา แถมมาได้นับในยกสุดท้ายอีก ไล่ต่อยจน “เจ้าน้อย” จะไปมิไปแหล่ ดีที่ระฆังช่วยไว้ทัน และคมพยัคฆ์ก็แพ้คะแนนไปเป็นเอกฉันท์ แต่กรรมการสองท่านให้แพ้เพียง 113-114 เรียกว่าถ้ายกสุดท้ายไม่โดนนับอาจรักษาเข็มขัดไว้ได้และมีความหวังที่จะก้าวไปท้าชิงตำแหน่งแชมป์ตัวจริงของตัวเองได้อีก
ดูจากไฟต์นี้แล้ว จะเห็นว่าอดีตแชมป์ชาวไทยมีเลือดนักสู้จริงๆ แม้จะเสียเปรียบรูปร่าง แต่ก็พยายามเดินเข้าใส่ตลอด แต่ต้องยอมรับว่าคมพยัคฆ์ปล่อยหมัดไม่ค่อยเข้าเป้า ติดการ์ดเป็นส่วนใหญ่ ไม่มีหมัดนำ ไม่มีหมัดชุด ซึ่งเรื่องนี้เชื่อว่าแฟนมวยชาวไทยเห็นกันมานานและวิจารณ์กันจนเบื่อแล้ว และไม่ใช่เป็นปัญหาของคมพยัคฆ์เท่านั้น แต่เป็นอาการเดียวกับนักมวยไทยแทบทุกคนในตอนนี้
อีกจุดที่แฟนมวยเห็นแล้วก็ทรมานแทน ก็คือการป้องกันตัวของนักมวยเราทำได้ไม่ดีเลยจริงๆ ตอนออกหมัดการ์ดเราจะตกตลอด และนักมวยญี่ปุ่นก็เตรียมตัวมาดีชิงจังหวะออกหมัดได้เข้าเป้าตลอด สร้างความบอบช้ำให้กับ “เจ้าน้อย” อย่างมาก แล้วเวลาเดินเข้าหาก็เดินทื่อๆ ตัวแข็งๆ โดนเขาวัดระยะแล้วจิ้มสบาย อีกอย่างก็คือเราป้องกันหมัดอัปเปอร์คัทหรือหมัดล้วงไม่ได้เลย จริงๆ หมัดนี้มันชัดเจนอยู่แล้ว เราตัวเตี้ยกว่าเขา เขาจะต่อยเราได้ถนัดที่สุดก็ต้องเป็นหมัดอัปเปอร์คัทนี่แหละ น่าจะเตรียมตัวให้ดีกว่านี้ในเรื่องหมัดนี้
งานนี้ก็แพ้จริงๆ พูดกันตรงๆ ผมยังคิดว่าคะแนนน่าจะห่างกว่านี้ ยกแรกเปิดมาคมพยัคฆ์ก็โดนจ้วงเต็มๆ จนร่วง แต่กรรมการไม่นับ ผู้บรรยายก็บอกว่าเป็นการเสียหลัก ผมว่าเสียหลักเพราะโดนหมัดสิครับ จริงๆ แล้วหมัดนี้ควรโดนนับ นี่เป็นอีกเรื่องที่วงการมวยบ้านเรายังก้าวไม่พ้น คือเรื่องการตัดสินและการให้คะแนน ไฟต์นี้ดูกันจริงๆ คมพยัคฆ์ โดนตลอด หายกชนะไม่ค่อยจะได้ แต่สุดท้ายกรรมการสองท่านให้แพ้คะแนนเดียวจากการโดนนับในยกสุดท้าย นี่ถ้ากรรมการใจแข็งไม่นับนี่ญี่ปุ่นแพ้เลย และจะเป็นเรื่องให้คุยเรื่องความกังขาการตัดสินมวยโลกในบ้านเราได้อีก ซึ่งก็เคยมีมาแล้วที่นักมวยเราโดนต่อยล้มคว่ำล้มหงาย โดน 4 นับแต่ครบยกชนะคะแนน เจ้าน้อยโดนนับเดียวถือเป็นเรื่องสิวๆ
อันนี้ก็คงต้องแล้วแต่ทีมงานและผู้สร้าง ถ้านักมวยเราไม่ไหวจริงๆ จะช่วยด้วยการตัดสินก็คงไปไหนไม่ได้ไกล สมัยก่อนมีเรียกมวยสร้างแบบนี้ว่ามวยสร้างหนี้สร้างสินมากกว่า แต่เข้าใจว่ายุคนี้จะหาสปอนเซอร์ได้ต้องชนะไว้ก่อน เราก็เลยมีแต่นักมวยที่ฝีมืออวดชาวโลกได้จริงๆ ไม่ค่อยจะได้และจะให้แฟนมวยมีศรัทธาจริงๆ ก้าวขึ้นมาเป็นขวัญใจแฟนมวยชาวไทยจริงๆ ก็คงลำบากมาก