คอลัมน์ “TIMEOUT” โดย “ชมณัฐ”
พลันที่มีกระแสข่าวว่า “บิ๊กก๊อง” วิรัช ชาญพานิชย์ 1 ในผู้ลงสมัครท้าชิงเก้าอี้นายกสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทย ประกาศว่าหากตนได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งครั้งนี้ จะแก้ไขข้อบังคับของสมาคมฯให้เป็นไปตามแนวทางเดียวกับสหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ หรือ ฟีฟา แล้วหลังจากนั้นจะขอลาออกจากตำแหน่งเพื่อหลีกทางให้ นายอดิศักดิ์ เบ็ญจศิริวรรณ หรือ “บิ๊กป๋อม” ทำให้หลายคนอาจเกิดความสงสัยว่าเขาเป็นใคร แต่คนที่คลุกคลีอยู่ในวงการลูกหนังไทย โดยเฉพาะแวดวงโต๊ะเล็ก พูดได้ว่าไม่มีใครที่จะไม่รู้จักเจ้าของฉายา “เจ้าพ่อฟุตซอลไทย” คนนี้
ก่อนหน้านี้ “บิ๊กป๋อม” เคยดำรงตำแหน่งผู้จัดการทีมฟุตซอลทีมชาติไทย และ ประธานพัฒนาฟุตซอลแห่งชาติ ก่อนจะถูก “บังยี” วรวีร์ มะกูดี นายกสมาคมฟุตบอลฯในเวลานั้นปลดแบบฟ้าผ่า โดยให้เหตุผลว่าอยู่คนละขั้ว หลัง “บิ๊กป๋อม” โยกไปเข้าร่วมกับฝั่งชลบุรีในการเลือกตั้งสมัยที่แล้ว
มาถึงการเลือกตั้งครั้งนี้ แม้แรกเริ่ม “บิ๊กป๋อม” จะเปิดตัวในตำแหน่งว่าที่เลขาธิการสมาคมฟุตบอลฯ หาก “บิ๊กก๊อง” ได้เป็นนายกฯ แต่วงในเผยมาว่าความจริงทางกลุ่มชลบุรีได้วางให้เจ้าตัวเป็นนายกสมาคมฯเลยทีเดียว แต่ติดตรงที่พรรษากาลยังไม่ถึง บวกกับฝั่ง นายเนวิน ชิดชอบ ประธานสโมสรบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด พันธมิตรหลักในการโค่นอำนาจเก่า ต้องการจะหนุนรุ่นพี่ร่วมสถาบันสวนกุหลาบวิทยาลัยมากกว่า ทำให้ “มิสเตอร์โต๊ะเล็ก” จึงต้องหลีกทางไปโดยปริยาย เพื่อรอเวลาที่เหมาะสม
แต่หากพูดถึงดีกรีแล้วเจ้าตัวถือว่ามีภาษีดีทั้งนอกและในวงการไม่เป็นรองใคร โดย จบปริญญาโท ด้านบริหารธุรกิจมหาบัณฑิต (การจัดการทั่วไป) จาก มหาวิทยาลัยดัลลัส ประเทศสหรัฐอเมริกา อีกทั้งเคยเป็นที่ปรึกษารองนายกรัฐมนตรี, ที่ปรึกษารมว.กระทรวงท่องเที่ยวและกีฬา ปัจจุบันจะดำรงตำแหน่งผู้ช่วยรมว.กระทรวงวัฒนธรรม และยังมีสัมพันธ์อันดีกับ นายสนธยา คุณปลื้ม ขาใหญ่เมืองชล และ นายเนวิน จากบุรีรัมย์ อีกด้วย
ส่วนวงการโต๊ะเล็กที่ตนเป็นผู้ตั้งไข่และคลุกคลีมากว่า 10 ปีนั้นเชื่อขนมกินได้ เคยนำทีมชาติไทย รั้งอันดับ 9 ของโลก และเบอร์ 2 เอเชีย หลังพา “ช้างศึก” เข้ารอบสุดท้ายฟุตซอลโลก 3 สมัยติด, รองชนะเลิศฟุตซอลชิงแชมป์เอเชีย, แชมป์ฟุตซอลชิงแชมป์อาเซียน 5 สมัย และ แชมป์ซีเกมส์ พร้อมฝากผลงานชิ้นโบว์แดงด้วยการเป็นตัวแทนยื่นบิดให้ประเทศไทยได้เป็นเจ้าภาพจัดฟุตซอลโลก ปี 2012 แต่สุดท้ายถูก “บังยี” เขี่ยทิ้งโทษฐานกบฏ
ปัจจุบันเจ้าตัวนั่งแท่นประธานสโมสรชลบุรี บลูเวฟ แชมป์ฟุตซอลลีกปีล่าสุด ที่เพิ่งผ่านเข้าสู่รอบสุดท้าย ศึกชิงแชมป์สโมสรเอเชีย 2013 และเตรียมจะฟาดแข้งวันที่ 27 ส.ค.- 1 ก.ย. ณ เมืองนาโกยา ประเทศญี่ปุ่น
พร้อมกันนี้มิสเตอร์ฟุตซอลวัย 51 ปี ได้เสนอวิสัยทัศน์เบื้องต้นเพื่อที่จะปฏิรูปฟุตบอลไทย อาทิเช่น การให้อิสระกับ ทีพีแอล โดยการแยกออกจากสมาคมฯและมีทีมบริหารที่ชัดเจนมากขึ้น, การเตรียมนำทีมงานที่เชี่ยวชาญและเป็นมืออาชีพ อีกทั้งมั่นใจในการประสานงานกับต่างประเทศของตนเองว่าดีพอไม่แพ้กับ “ฟีฟายี” แต่ทั้งนี้เจ้าตัวยังยืนยันว่าหากตนจะลงชิงชัยจริง ก็ขอทำทุกอย่างตามกติกา จะไม่รับโอนไม้ต่อจากผู้ใดแน่นอน
ที่ร่ายเรียงมาตั้งแต่ต้นคงจะทำให้หายเคลือบแคลงใจถึงความสามารถของชายคนนี้ ด้วยประสบการณ์ที่ผ่านงานระดับโลกมาอย่างโชกโชน บวกกับ “ใจ” ที่พร้อมจะทุ่มให้กับลูกหนังเต็มที่ ทำให้อดคิดไม่ได้ว่าหลังจากนี้หากฟุตบอลไทยมีหัวเรือใหญ่ที่ชื่อ “อดิศักดิ์ เบ็ญจศิริวรรณ” คอยคุมหางเสือแล้วล่ะก็ จะประสบความสำเร็จเพียงใด
พลันที่มีกระแสข่าวว่า “บิ๊กก๊อง” วิรัช ชาญพานิชย์ 1 ในผู้ลงสมัครท้าชิงเก้าอี้นายกสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทย ประกาศว่าหากตนได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งครั้งนี้ จะแก้ไขข้อบังคับของสมาคมฯให้เป็นไปตามแนวทางเดียวกับสหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ หรือ ฟีฟา แล้วหลังจากนั้นจะขอลาออกจากตำแหน่งเพื่อหลีกทางให้ นายอดิศักดิ์ เบ็ญจศิริวรรณ หรือ “บิ๊กป๋อม” ทำให้หลายคนอาจเกิดความสงสัยว่าเขาเป็นใคร แต่คนที่คลุกคลีอยู่ในวงการลูกหนังไทย โดยเฉพาะแวดวงโต๊ะเล็ก พูดได้ว่าไม่มีใครที่จะไม่รู้จักเจ้าของฉายา “เจ้าพ่อฟุตซอลไทย” คนนี้
ก่อนหน้านี้ “บิ๊กป๋อม” เคยดำรงตำแหน่งผู้จัดการทีมฟุตซอลทีมชาติไทย และ ประธานพัฒนาฟุตซอลแห่งชาติ ก่อนจะถูก “บังยี” วรวีร์ มะกูดี นายกสมาคมฟุตบอลฯในเวลานั้นปลดแบบฟ้าผ่า โดยให้เหตุผลว่าอยู่คนละขั้ว หลัง “บิ๊กป๋อม” โยกไปเข้าร่วมกับฝั่งชลบุรีในการเลือกตั้งสมัยที่แล้ว
มาถึงการเลือกตั้งครั้งนี้ แม้แรกเริ่ม “บิ๊กป๋อม” จะเปิดตัวในตำแหน่งว่าที่เลขาธิการสมาคมฟุตบอลฯ หาก “บิ๊กก๊อง” ได้เป็นนายกฯ แต่วงในเผยมาว่าความจริงทางกลุ่มชลบุรีได้วางให้เจ้าตัวเป็นนายกสมาคมฯเลยทีเดียว แต่ติดตรงที่พรรษากาลยังไม่ถึง บวกกับฝั่ง นายเนวิน ชิดชอบ ประธานสโมสรบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด พันธมิตรหลักในการโค่นอำนาจเก่า ต้องการจะหนุนรุ่นพี่ร่วมสถาบันสวนกุหลาบวิทยาลัยมากกว่า ทำให้ “มิสเตอร์โต๊ะเล็ก” จึงต้องหลีกทางไปโดยปริยาย เพื่อรอเวลาที่เหมาะสม
แต่หากพูดถึงดีกรีแล้วเจ้าตัวถือว่ามีภาษีดีทั้งนอกและในวงการไม่เป็นรองใคร โดย จบปริญญาโท ด้านบริหารธุรกิจมหาบัณฑิต (การจัดการทั่วไป) จาก มหาวิทยาลัยดัลลัส ประเทศสหรัฐอเมริกา อีกทั้งเคยเป็นที่ปรึกษารองนายกรัฐมนตรี, ที่ปรึกษารมว.กระทรวงท่องเที่ยวและกีฬา ปัจจุบันจะดำรงตำแหน่งผู้ช่วยรมว.กระทรวงวัฒนธรรม และยังมีสัมพันธ์อันดีกับ นายสนธยา คุณปลื้ม ขาใหญ่เมืองชล และ นายเนวิน จากบุรีรัมย์ อีกด้วย
ส่วนวงการโต๊ะเล็กที่ตนเป็นผู้ตั้งไข่และคลุกคลีมากว่า 10 ปีนั้นเชื่อขนมกินได้ เคยนำทีมชาติไทย รั้งอันดับ 9 ของโลก และเบอร์ 2 เอเชีย หลังพา “ช้างศึก” เข้ารอบสุดท้ายฟุตซอลโลก 3 สมัยติด, รองชนะเลิศฟุตซอลชิงแชมป์เอเชีย, แชมป์ฟุตซอลชิงแชมป์อาเซียน 5 สมัย และ แชมป์ซีเกมส์ พร้อมฝากผลงานชิ้นโบว์แดงด้วยการเป็นตัวแทนยื่นบิดให้ประเทศไทยได้เป็นเจ้าภาพจัดฟุตซอลโลก ปี 2012 แต่สุดท้ายถูก “บังยี” เขี่ยทิ้งโทษฐานกบฏ
ปัจจุบันเจ้าตัวนั่งแท่นประธานสโมสรชลบุรี บลูเวฟ แชมป์ฟุตซอลลีกปีล่าสุด ที่เพิ่งผ่านเข้าสู่รอบสุดท้าย ศึกชิงแชมป์สโมสรเอเชีย 2013 และเตรียมจะฟาดแข้งวันที่ 27 ส.ค.- 1 ก.ย. ณ เมืองนาโกยา ประเทศญี่ปุ่น
พร้อมกันนี้มิสเตอร์ฟุตซอลวัย 51 ปี ได้เสนอวิสัยทัศน์เบื้องต้นเพื่อที่จะปฏิรูปฟุตบอลไทย อาทิเช่น การให้อิสระกับ ทีพีแอล โดยการแยกออกจากสมาคมฯและมีทีมบริหารที่ชัดเจนมากขึ้น, การเตรียมนำทีมงานที่เชี่ยวชาญและเป็นมืออาชีพ อีกทั้งมั่นใจในการประสานงานกับต่างประเทศของตนเองว่าดีพอไม่แพ้กับ “ฟีฟายี” แต่ทั้งนี้เจ้าตัวยังยืนยันว่าหากตนจะลงชิงชัยจริง ก็ขอทำทุกอย่างตามกติกา จะไม่รับโอนไม้ต่อจากผู้ใดแน่นอน
ที่ร่ายเรียงมาตั้งแต่ต้นคงจะทำให้หายเคลือบแคลงใจถึงความสามารถของชายคนนี้ ด้วยประสบการณ์ที่ผ่านงานระดับโลกมาอย่างโชกโชน บวกกับ “ใจ” ที่พร้อมจะทุ่มให้กับลูกหนังเต็มที่ ทำให้อดคิดไม่ได้ว่าหลังจากนี้หากฟุตบอลไทยมีหัวเรือใหญ่ที่ชื่อ “อดิศักดิ์ เบ็ญจศิริวรรณ” คอยคุมหางเสือแล้วล่ะก็ จะประสบความสำเร็จเพียงใด