คอลัมน์ “สกอร์บอร์ด” โดย “แมวดำ”
คงต้องยอมรับกันตามตรงว่าสัปดาห์นี้มีเรื่องราวข่าวคราวมากมายที่เป็นกระแส จนเลือกไม่ถูกว่าจะหยิบยกเรื่องไหนมาขยับขยายต่อ ไม่ว่าจะเป็น กรณีคลิปฉาวของ "อ๊อดถั่งเช่า" หรือเรื่องราวมหากาพย์การเลือกตั้งนายกสมาคมฟุตบอล แต่สุดท้ายสิ่งที่ผมสนใจที่สุดกลับเป็นเรื่องการทำหน้าที่ของสื่อมวลชนในแวดวงกีฬามากกว่า
หากว่าแฟนกีฬาจะพึงสังเกตการทำหน้าที่ของสื่อมวลชนสายกีฬาระหว่างนี้จะเห็นได้ว่ามีความไม่ชอบมาพากลอยู่มาก ไม่ต้องดูเรื่องอื่นใดให้มองที่ปัญหาสมาคมฟุตบอลไทย จะเห็นได้ชัดเจนมากว่ามีการนำเสนอที่แตกต่างกัน ทั้งที่เป็นเรื่องเดียวกัน ยกตัวอย่างเรื่องหนังสือตอบกลับของการกีฬาแห่งประเทศไทย ที่ส่งกลับสมาคมลูกหนังไทย ว่า "รับทราบ" แนวทางการปฏิบัติของสมาคมฯ ในการเลือกตั้งนายกสมาคมคนใหม่
ซึ่งวันรุ่งขึ้นสื่อกีฬายักษ์ใหญ่ กับหนังสือพิมพ์หัวสีที่ยอดขายสูงสุด ต่างก็ตีข่าวกันทำนองว่า "กกท.โอเค สมาคมฟุตบอล เลือกตั้งตาม ฟีฟา" เรื่องนี้เล่นเอาคนอย่าง คุณหนุ่ม กนกพันธุ์ จุลเกษม ผู้ว่าการการกีฬาแห่งประเทศไทย ถึงกับมึนงง กับการแปลงสาส์นไปไกลจากความหมายเดิม จนต้องออกมาแก้ข่าวในท้ายที่สุด
นั่นแสดงให้เห็นว่ามีความพยายามที่จะทำให้แฟนบอล หรือใครก็ตามเชื่อว่า "กกท." เห็นด้วยกับการเลือกตั้ง 72 เสียง ตามที่คุณวรวีร์ มะกูดี รับบัญชาจากสหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติมา มันทำให้ผมสงสัยเหลือเกินว่าคนที่คิดว่าจะปิดแผ่นฟ้าด้วยหน้ากระดาษหนังสือพิมพ์เปื้อนหมึกนี้ไม่ทราบหรืออย่างไรว่าโลกนี้มันแคบเกินกว่าที่เราเคยรู้จัก โลกใบนี้มันไม่ใช่โลกใบเดิมที่ใช้โทรสารส่งข่าวเข้าสำนักพิมพ์กันแล้ว
นอกจากเรื่องนี้แล้ว หากยังจำได้ช่วงก่อนหน้านี้ก็สองฉบับนี้อีกนั่นแหละที่บอกว่ามีการจ้างม็อบหัวละ 400 บาท เพื่อมาชูป้ายไล่คุณวรวีร์ที่หน้าศูนย์ฝึกฟุตบอลหนองจอก อันเตรียมใช้เป็นที่โหวตรับรองธรรมนูญเลือกตั้งใหม่เมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา สร้างความเดือดดาลให้แฟนฟุตบอลจำนวนมาก อีกเรื่องงามหน้าก็มีการออกมาตำหนิคนโตใน กกท.ว่ามีพฤติกรรมไม่เหมาะสมลวนลามหญิงสาวระหว่างปฏิบัติงานในต่างประเทศ เพียงเพราะไม่ถูกใจบทบาทการทำหน้าที่โดยยึดกฎหมายเป็นหลัก ไม่โอนอ่อนผ่อนตามสื่อยักษ์ใหญ่นั่นเอง ซึ่งเรื่องทั้งหมดก็ไม่มีหลักฐานมาแสดงแค่ใช้วิธีเก่าๆ ของสื่อแก่ๆ มาตีกินหาผลประโยชน์
ถามว่าทำไมถึงต้องนำชื่อเสียงเกียรติภูมิของหัวหนังสือพิมพ์ลดตัวมาเกือกกลั้วกับการทำข่าวสกปรกใส่ร้ายป้ายสีคนอื่นขนาดนั้น ก็ไม่มีอะไรมาก แค่เป็นเพราะผู้บริหารของสำนักพิมพ์ทั้งสองนั้นต่างถือตัวเป็นจอมยุทธ์ ที่เคารพนับถือกันด้วยบุญคุณความแค้นกันแบบหนังจีนกำลังภายใน เรื่องนี้จึงกลายเป็นบุญคุณต้องทดแทน ความแค้นต้องชำระ โดยไม่ต้องสนใจอีกแล้วว่าอะไรถูกหรือผิด ขอเพียงพวกพ้องยังเกาะติดหนึบในตำแหน่งสมาคมกีฬา ก็ไม่ต้องกลัวว่าเงินในธนาคารจะลดลง...จริงมั้ยครับ
คงต้องยอมรับกันตามตรงว่าสัปดาห์นี้มีเรื่องราวข่าวคราวมากมายที่เป็นกระแส จนเลือกไม่ถูกว่าจะหยิบยกเรื่องไหนมาขยับขยายต่อ ไม่ว่าจะเป็น กรณีคลิปฉาวของ "อ๊อดถั่งเช่า" หรือเรื่องราวมหากาพย์การเลือกตั้งนายกสมาคมฟุตบอล แต่สุดท้ายสิ่งที่ผมสนใจที่สุดกลับเป็นเรื่องการทำหน้าที่ของสื่อมวลชนในแวดวงกีฬามากกว่า
หากว่าแฟนกีฬาจะพึงสังเกตการทำหน้าที่ของสื่อมวลชนสายกีฬาระหว่างนี้จะเห็นได้ว่ามีความไม่ชอบมาพากลอยู่มาก ไม่ต้องดูเรื่องอื่นใดให้มองที่ปัญหาสมาคมฟุตบอลไทย จะเห็นได้ชัดเจนมากว่ามีการนำเสนอที่แตกต่างกัน ทั้งที่เป็นเรื่องเดียวกัน ยกตัวอย่างเรื่องหนังสือตอบกลับของการกีฬาแห่งประเทศไทย ที่ส่งกลับสมาคมลูกหนังไทย ว่า "รับทราบ" แนวทางการปฏิบัติของสมาคมฯ ในการเลือกตั้งนายกสมาคมคนใหม่
ซึ่งวันรุ่งขึ้นสื่อกีฬายักษ์ใหญ่ กับหนังสือพิมพ์หัวสีที่ยอดขายสูงสุด ต่างก็ตีข่าวกันทำนองว่า "กกท.โอเค สมาคมฟุตบอล เลือกตั้งตาม ฟีฟา" เรื่องนี้เล่นเอาคนอย่าง คุณหนุ่ม กนกพันธุ์ จุลเกษม ผู้ว่าการการกีฬาแห่งประเทศไทย ถึงกับมึนงง กับการแปลงสาส์นไปไกลจากความหมายเดิม จนต้องออกมาแก้ข่าวในท้ายที่สุด
นั่นแสดงให้เห็นว่ามีความพยายามที่จะทำให้แฟนบอล หรือใครก็ตามเชื่อว่า "กกท." เห็นด้วยกับการเลือกตั้ง 72 เสียง ตามที่คุณวรวีร์ มะกูดี รับบัญชาจากสหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติมา มันทำให้ผมสงสัยเหลือเกินว่าคนที่คิดว่าจะปิดแผ่นฟ้าด้วยหน้ากระดาษหนังสือพิมพ์เปื้อนหมึกนี้ไม่ทราบหรืออย่างไรว่าโลกนี้มันแคบเกินกว่าที่เราเคยรู้จัก โลกใบนี้มันไม่ใช่โลกใบเดิมที่ใช้โทรสารส่งข่าวเข้าสำนักพิมพ์กันแล้ว
นอกจากเรื่องนี้แล้ว หากยังจำได้ช่วงก่อนหน้านี้ก็สองฉบับนี้อีกนั่นแหละที่บอกว่ามีการจ้างม็อบหัวละ 400 บาท เพื่อมาชูป้ายไล่คุณวรวีร์ที่หน้าศูนย์ฝึกฟุตบอลหนองจอก อันเตรียมใช้เป็นที่โหวตรับรองธรรมนูญเลือกตั้งใหม่เมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา สร้างความเดือดดาลให้แฟนฟุตบอลจำนวนมาก อีกเรื่องงามหน้าก็มีการออกมาตำหนิคนโตใน กกท.ว่ามีพฤติกรรมไม่เหมาะสมลวนลามหญิงสาวระหว่างปฏิบัติงานในต่างประเทศ เพียงเพราะไม่ถูกใจบทบาทการทำหน้าที่โดยยึดกฎหมายเป็นหลัก ไม่โอนอ่อนผ่อนตามสื่อยักษ์ใหญ่นั่นเอง ซึ่งเรื่องทั้งหมดก็ไม่มีหลักฐานมาแสดงแค่ใช้วิธีเก่าๆ ของสื่อแก่ๆ มาตีกินหาผลประโยชน์
ถามว่าทำไมถึงต้องนำชื่อเสียงเกียรติภูมิของหัวหนังสือพิมพ์ลดตัวมาเกือกกลั้วกับการทำข่าวสกปรกใส่ร้ายป้ายสีคนอื่นขนาดนั้น ก็ไม่มีอะไรมาก แค่เป็นเพราะผู้บริหารของสำนักพิมพ์ทั้งสองนั้นต่างถือตัวเป็นจอมยุทธ์ ที่เคารพนับถือกันด้วยบุญคุณความแค้นกันแบบหนังจีนกำลังภายใน เรื่องนี้จึงกลายเป็นบุญคุณต้องทดแทน ความแค้นต้องชำระ โดยไม่ต้องสนใจอีกแล้วว่าอะไรถูกหรือผิด ขอเพียงพวกพ้องยังเกาะติดหนึบในตำแหน่งสมาคมกีฬา ก็ไม่ต้องกลัวว่าเงินในธนาคารจะลดลง...จริงมั้ยครับ