ผู้บริหารจุฬาลงการณ์มหาวิทยาลัย ออกโรงจี้ค่าเช่าของกรมพลศึกษา ภายในสนามกีฬาแห่งชาติ ที่เพิ่มจำนวนเงินถึง 153 ล้านบาท หากไม่สามารถจ่ายได้ตามที่ตกลงไว้ ทางจุฬาฯจะขอเข้ามาบริหารจัดการด้วยตัวเอง เพื่อรองรับจำนวนนิสิตจุฬาฯ ที่เข้ามาศึกษาในอนาคต
เมื่อเวลา 10.30 น.สำนักงานทรัพย์สินจุฬาฯ ชี้แจงประเด็นการขอคืนพื้นที่ 11 ไร่ เพื่อรองรับแผนพัฒนากีฬา พร้อมเผยแผนการปรับขึ้นค่าเช่ากรมพลศึกษา ภายในสนามกีฬาแห่งชาติ โดยมี รศ.น.อ.นพ.เพิ่มยศ โกศลพันธุ์ รองอธิการบดี กำกับดูแลสำนักงานทรัพย์สินจุฬาฯ และ รศ.ดร.ธนิต ธงทอง รองอธิการบดี กำกับดูแลกิจการนิสิต จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ร่วมชี้แจง พร้อมด้วยบรรดาสื่อมวลชนเข้าร่วมฟัง ณ อาคารจามจุรี 4 (ตึกอธิการบดี) ชั้น 2 ห้อง 203 ในวันพฤหัสบดีที่ 24 มกราคม 2556 ที่ผ่านมา
โดย รศ.น.อ.นพ.เพิ่มยศ โกศลพันธุ์ ชี้แจงว่า การขอคืนพื้น 11 ไร่ บริเวณสนามจินดารักษ์, อาคารจันทนยิ่งยง, อาคารนันทนาการ, ลานอเนกประสงค์และโรงยิมนั้น ไม่ได้เป็นเชิงพาณิชย์และธุรกิจ แต่เป็นไปตามบันทึกเอ็มโอยูที่ตกลงกันไว้ตั้งแต่ 27 มิ.ย.2540 โดยจุฬาฯ ปรับลดขนาดจากพื้นที่ 87 ไร่ เหลือ 76 ไร่ 2 งาน 4.71 ตารางวา และได้ปรับอัตราค่าเช่าจากเดิมปีละ 3 ล้านบาท เป็น 153,023,600 บาท ตอนนี้การเช่านั้นหมดสัญญาแล้ว เมื่อวันที่ 30 ก.ย.2555
รองอธิการ ยังกล่าวต่ออีกว่า “การขอขึ้นค่าเช่าไม่ได้เป็นการบีบบังคับกรมพลศึกษาออกจากพื้นที่แต่อย่างใด เพราะเห็นว่าพื้นที่ที่กรมพลศึกษาใช้อยู่ 11 ไร่ ไม่ได้ทำให้เกิดประโยชน์สูงสุดในด้านการศึกษาและการพัฒนาทางการกีฬา ทางมหาวิทยาลัยจึงขอเข้าไปบริหารพื้นที่บางส่วนด้วยตัวเองจะดีกว่า เพื่อเพิ่มพื้นที่ในการใช้สอย และการออกกำลังกายให้นิสิต นักศึกษา ที่มีจำนวนเพิ่มมากขึ้น อย่างไรก็ตาม ในเรื่องของการเจรจากับทางกรมพลศึกษา ตนก็ไม่อยากกำหนดเงื่อนเวลา เพราะว่าจะดูรุนแรงเกินไป และดูเหมือนว่าทางกรมพลศึกษาเองก็มีพื้นที่อื่นๆ รองรับอยู่บ้างแล้ว”
“เมื่อเทียบกับหลายสิบปีก่อนเราให้กรมพลศึกษาเช่า 100 กว่าไร่ ปัจจุบันเหลือ 87 ไร่ ค่าเช่าปีละ 3 ล้านบาท ถือว่าถูกมากๆ หรือแทบไม่มีค่าใช้จ่ายเลย ซึ่งค่าเช่าตรงนี้ทางจุฬาฯ ขอยืนยันว่า หากให้เอกชนเช่าคงไม่น้อยกว่า 600 ล้านบาทแน่นอน และเราเองก็ได้ผ่อนผันค่าเช่ามาตลอด ไม่ใช่จะเริ่มขอขึ้นค่าเช่ากะทันหัน จึงอยากให้ทางกรมพลศึกษา เข้ามาพูดคุยบ้าง หากทางกรมพลศึกษามีปัญหาเรื่องงบประมาณ เราก็พร้อมที่จะหาทางช่วยเหลือร่วมกัน เพื่อประโยชน์กับทั้งสองฝ่ายร่วมกัน” รศ.น.อ.นพ.เพิ่มยศ กล่าวทิ้งท้าย
