xs
xsm
sm
md
lg

"พินิจ" เขย่าเก้าอี้ "บังยี" 10 ปีพลิกโฉมบอลไทย

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

พินิจ ลุ้นเก้าอี้นายกฯบอลไทย
ASTV ผู้จัดการรายวัน – วรวีร์ มะกูดี นายกสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ กำลังจะครบกำหนดวาระการทำงานภายในสิ้นปี 2555 นี้และจะมีการเลือกตั้งครั้งใหม่เดือนมีนาคมปีหน้า โดยล่าสุด พินิจ งามพริ้ง ที่คุ้นหน้าคุ้นตากันดีในวงการฐานะประธานชมรมเชียร์ไทยพาวเวอร์ ประกาศท้าชิงเก้าอี้ภายใต้แผนงาน 10 ปีก้าวเป็นที่ 1 ใน 5 ของทวีปเอเชียให้ได้

หากจำกันได้เมื่อต้นปี 2554 วรวีร์ มะกูดี ที่ทำผลงานไม่เข้าตาในการนั่งเก้าอี้ประมุขลูกหนังมา 2 สมัยเป็นเวลา 4 ปี หลายฝ่ายโดยเฉพาะแฟนลูกหนังเมืองไทยจึงคาดหวังว่าจะได้เห็นความเปลี่ยนแปลง ทว่าการเลือกตั้งต้องถูกล้มด้วยข้ออ้างสารพัดจาก “บังยี” โดยเฉพาะการที่มีเสียงตัวแทนสโมสรสมาชิกซ้ำซ้อน ทำเอา วิรัช ชาญพาณิชย์ และ พิเชฐ มั่นคง ที่ประกาศตัวเป็นแคนดิเคท ณ เวลานั้นไม่อาจสอดแทรกเข้าไปได้ จนกระทั่งกลางเดือนมิถุนายนก็ได้มีการประกาศว่าได้รับเสียงสนับสนุนเกิน 100 เสียงได้นั่งบัลลังก์เป็นสมัยที่ 3

งานนี้ พินิจ จึงถูกมองว่าจะสามารถท้าทายบัลลังก์ของ วรวีร์ ได้แค่ไหนหรือจะเป็นเพียงแค่ตัวประกอบรายการเท่านั้น โดยได้มีการจัดการแถลงข่าวอย่างเป็นทางการ ณ ห้องจามจุรี 2 ชั้น M โรงแรมปทุมวันปริ๊นเซส เมื่อวันที่ 24 ธันวาคม ที่ผ่านมา พร้อมเปิดตัวแผนฟื้นฟูฟุตบอลแห่งชาติ 10 ปี "The 10 Years Plan"

นายพินิจ กล่าวว่า "ผมไม่เคยคิดว่าจะมาเป็นนายกสมาคมฟุตบอลฯ เป็นแค่คนรักและเชียร์บอลคนหนึ่ง จนมาคิดว่าได้มีปัญหาเกิดขึ้นมากมาย ผมมองว่าในแง่การบริหารมีส่วนสำคัญต่อผลแพ้ชนะในสนาม ตอนนี้นายกสมาคมฯใหญ่กว่าตัวสมาคมฯ และเสียงสะท้อนที่ประชาชนต้องการส่งไปไม่ถึง ซึ่งในความเป็นจริงตัวสมาคมฯต้องใหญ่ที่สุด และต้องรับฟังและมีช่องทางการสื่อสารกับแฟนบอล ผมจึงเสนอตัวและแผนงานขึ้นมา โดยมีเป้าหมายเพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลง ซึ่งเปรียบเสมือนตัวตั้ง ถ้ามีใครสนับสนุนก็พร้อมจะยินดี โดยเฉพาะในเรื่องแผนงาน ถ้ามีใครที่ดีกว่าได้เข้าไปทำหน้าที่แทนและจะนำแผนงานนี้ไปใช้ผมก็ยินดี"

ด้านแผนงานที่นายพินิจ เผยว่าเคยเสนอแนวคิดคร่าวๆต่อ นายวรวีร์ มาแล้วแต่ไม่ได้คำตอบใดๆกลับมาประกอบด้วยกลยุทธ์ 4 ด้าน ที่เน้นความโปร่งใสและครอบคลุมระยะเวลา 10 ปี คือ 1. ด้านบริหารและความโปร่งใส 2. ด้านพัฒนาเทคนิคและวางรากฐาน 3. ด้านคุณภาพเป้าหมายการแข่งขัน และ 4.ด้านการตลาดและศรัทธามหาชน โดยแบ่งเป็น 3 ช่วง ได้แก่ ช่วงฟื้นฟูศรัทธา (พ.ศ.2556-2557) ช่วงสร้างความร่วมมือ (พ.ศ.2558-2560) และช่วงกระตุ้นและรักษาความต่อเนื่องในการพัฒนา (พ.ศ.2561-2565) "หัวใจหลักของการบริหารเพื่อส่วนรวมคือความโปร่งใส หากได้เป็นนายกสมาคมฯ ผมจะเปิดเผยรายรับรายจ่ายของสมาคมฯต่อสาธารณะ โดยทุกคนสามารถเข้าไปตรวจสอบได้ และจากนี้เราจะทำงานกันเป็นขั้นตอน ต้องมีแผนเตรียมไว้ล่วงหน้าเช่นการอุ่นเครื่องฟุตบอลทีมชาติ ที่ต้องกำหนดไว้ก่อน 1-2 ปี ว่าจะพบกับทีมใดบ้าง รวมถึงสนามเหย้าแห่งใหม่สำหรับทีมชาติไทย ความจุ 4-6 หมื่นคน โดยร่วมมือกับบริษัทพัฒนาที่ดิน ซึ่งใช้งบขั้นต่ำประมาณ 200 ล้านบาท และจะต้องมีการเปิดประมูลอย่างโปร่งใส"

"อีกทั้งการพัฒนาด้านเทคนิค ที่นำผู้เชี่ยวชาญในประเทศและต่างประเทศมาช่วยกันวางรากฐานระบบการเล่นให้กับทีมชาติ มีการพัฒนาระดับเยาวชน โดยเป้าหมายสูงสุดที่เราวางไว้คือ ต้องสามารถสู้กับทีมในระดับเกรดเอของเอเชีย ได้อย่างสนุก เสมอหรือชนะได้ จนขึ้นเป็น 1 ใน 5 ทีมชั้นนำในทวีป และเมื่อครบระยะเวลาแผนงานจะมีเครือข่ายแฟนบอลให้การสนับสนุนไม่น้อยกว่า 1 ล้านคน และสามารถระดมเงินสนับสนุนเพื่อใช้ในการพัฒนาต่างๆไม่น้อยกว่า 500 ล้านบาท ต่อปี โดยหลังจากนี้เราจะเร่งเผยแพร่และอธิบายแนวความคิดต่างๆและยินดีเดินทางไปอภิปรายให้กับบรรดาสโมสรสมาชิกได้รับรู้" ผู้ท้าชิงนายกบอลไทยคนใหม่กล่าว

ประธานเชียร์ไทยฯ ยังยอมรับว่าการที่นายวรวีร์ มีชื่อเป็นหนึ่งในสมาชิกบอร์ด ฟีฟา ถือว่าสำคัญมากและจะไม่ปิดโอกาสร่วมงานกับทีมงานชุดเก่า หากตนได้รับตำแหน่ง "ถ้าได้ตำแหน่งผมมองเรื่องทีมงานไว้บ้างแล้ว แต่ไม่ใช่เป็นการนำแค่พรรคพวกเราเข้าไป แต่ต้องมีประสบการณ์ ไม่แบ่งพรรคแบ่งพวก ซึ่งถ้าทีมงานชุดเก่าที่มีผลงานดีก็ควรจะได้ทำงานต่อ ส่วนผมจะทำงานแบบเต็มเวลา บริหารภาพรวม กับนายวรีวร์ ก็ไม่ได้มีปัญหาส่วนตัวแต่อย่างใด ยังต้องให้ความเคารพในการเป็นบอร์ดสหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ (ฟีฟา) อยู่ และถ้าผมเข้าไปก็ยังมั่นใจว่าจะทำงานได้ไม่แพ้กัน"

ส่วนประเด็นสำคัญที่หลายคนตั้งขอสังเกตถึงการออกมาประกาศตัวชิงเก้าอี้นายกสมาคมฟุตบอลไทยอย่างโจ่งแจ้งครั้งนี้ว่าได้รับการสนับสนุนจากใคร เพราะต้องยอมรับว่าจำเป็นต้องมีปัจจัยหลายอย่างทั้งเรื่องเงินและเสียงจากสโมสรสมาชิกทั้งระดับ ไทย พรีเมียร์ ลีก และภูมิภาค

พินิจ ทิ้งท้ายว่า "ตอนนี้ผมยังไม่ขอเปิดเผยรายละเอียด แต่ยืนยันว่ามีสโมสรสมาชิกให้การสนับสนุนอยู่พอสมควร ทั้งคนที่รู้จักและที่มีอุดมการณ์เดียวกัน ส่วนที่ว่ามีนักการเมืองด้วยไหม ผมตอบได้ว่าตอนนี้ยังไม่มีใครส่งสัญญาณมา รวมถึงกับนายเนวิน ชิดชอบ ประธานสโมสรบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ถึงแม้จะเคยร่วมงานกันมาก่อน ผมมั่นใจว่าจะมีผู้เสนอชื่อเข้าสู่ที่ประชุมสภากรรมการฯช่วงต้นปีหน้าและจะไม่มีการโดนหักหลังเหมือนที่เคยเกิดขึ้นในการเลือกตั้งครั้งที่แล้ว ผมจะขออยู่ในตำแหน่งแค่ 4 ปีเท่านั้นไม่ว่าผลงานเป็นเช่นไร ผมเข้ามาเพื่อเปลี่ยนแปลง อาจจะมีใครหาว่าผมสู้ไม่ได้หรือได้แค่ฝัน แต่ถ้าไม่ฝัน ไม่ทำ ก็ไม่เกิด และมั่นใจว่าจะทำได้ดีกว่าคนปัจจุบัน"
แถลงแผนงาน
วรวีร์ มะกูดี เจ้าของตำแหน่ง
บอลไทยเพิ่งวืดแชมป์ ซูซูกิ คัพ
กำลังโหลดความคิดเห็น