“วินนี” วินฟรีด เชเฟอร์ กุนซือทีมชาติไทย เปิดเทปสมัยที่ตนเองกุมบังเหียน คาร์ลสรูห์ ในบุนเดสลีกา เยอรมัน สร้างปาฏิหาริย์พลิกกลับมาเอาชนะ บาเลนเซีย 7-0 หลังนัดแรกแพ้มาก่อน 1-3 ให้แข้งไทยได้ดู เพื่อเป็นการกระตุ้น ก่อนศึกชี้ชะตากับ สิงคโปร์ พร้อมตอกกลับนักข่าวต่างชาติที่พยายามถามถึงเงินอัดฉีดว่านักเตะไทยวิ่งด้วยใจไม่ใช่ด้วยเงิน
เมื่อช่วงบ่ายของวันศุกร์ที่ 21 ธันวาคม 2555 ที่โรงแรมโกลเด้น ทิวลิป ซอฟเฟอริน (พระราม 9) ทีมชาติไทย และ สิงคโปร์ ได้เดินทางมาร่วมประชุมผู้จัดการทีม และแถลงความพร้อมก่อนเกมรอบชิงชนะเลิศ นัดสอง ศึกฟุตบอลชิงแชมป์อาเซียน “เอเอฟเอฟ ซูซูกิคัพ 2012” ที่จะฟาดแข้งในวันเสาร์ที่ 22 ธันวาคม นี้ ณ สนามศุภชลาศัย เวลา 19.00 น.
โดยเกมดังกล่าว “ช้างศึก” จะลงสนามในชุดสีแดง ส่วนผู้มาเยือนใส่ชุดน้ำเงิน และใช้คณะผู้ตัดสินจากประเทศอุซเบกิสถาน “วินนี” ได้เผยถึงการเตรียมทีม ว่า ได้ให้ผู้เล่นไทยดูเทปเก่าสมัยตนเองคุมทีม คาร์ลสรูห์ ทีมดังในบุนเดสลีกา เยอรมัน แมตช์ที่สร้างปาฏิหาริย์พลิกกลับมาชนะ บาเลนเซีย จากสเปน 7-0 ในบ้าน หลังบุกไปพ่ายก่อนเกมแรก 1-3 ในศึกยูฟา คัพ ปี 1993 “ปกติผมไม่ชอบเปิดผลงานตัวเองให้นักเตะดู แต่รอบนี้มันจำเป็นจริงๆ เพื่อเป็นการกระตุ้นให้ผู้เล่นไทยเห็นว่าเราสามารถพลิกกลับมาเอาชนะได้ ขอเพียงมีความมุ่งมั่น”
กุนซือชาวเยอรมัน กล่าวถึงเกมในนัดที่จะถึงนี้อีกว่ามั่นใจจะทวง 2 ประตูได้แน่นอน “ผมศึกษาเกมมาเป็นอย่างดี นั่งดูเทปการแข่งขันนัดที่ผ่านมาตลอดช่วงเช้า และรู้ดีว่าทีมเราดีพอ ประกอบกับสภาพสนามและกองเชียร์ที่เข้ามาเต็มความจุ จะส่งผลให้เราสามารถทำ 2 ประตูได้แน่นอน ส่วนในเรื่องของตัวผู้เล่นนั้นไม่มีปัญหาแต่อย่างใดทุกคนพร้อมที่จะลงสนาม เรามีนักเตะ 22 คน ที่พร้อมใช้งาน การเปลี่ยนตัวแก้เกมนั้นต้องดูตามความเหมาะสม ไม่มีใครคาดได้ว่าเปลี่ยนแล้วผลจะออกมาเป็นอย่างไร แต่พรุ่งนี้ (22 ธ.ค.) จะเป็นชุดที่ดีที่สุดแน่นอน”
“เราต้องเล่นเกมรุกเพื่อทำประตู เปิดเกมจากริมเส้น แต่ก็ต้องเล่นอย่างรัดกุมระวังเกมโต้กลับ สิ่งที่ต้องระวังคือบอลยาวของสิงคโปร์ ผมได้ถอดเทปเพื่อศึกษาอย่างเต็มที่ ทุกคนต้องสู้ด้วยหัวใจ มุ่งมั่นเหมือน อดุล หละโสะ ในนัดที่แล้ว แม้ฝั่งตรงข้ามจะเล่นหนักก็ตาม แต่ผมก็ชอบหากตัวรับเขาเล่นแบบนั้น เพราะจะทำให้เสียฟาล์วและสร้างโอกาสให้เรามากขึ้น ผมยังเชื่อในฝีมือผู้ตัดสินจากอุซเบกิสถาน” เชเฟอร์ กล่าว
พร้อมกันนี้ เทรนเนอร์วัย 62 ปี ได้ตอกกลับนักข่าวต่างประเทศที่พยายามจี้ถามถึงจำนวนเงินอัดฉีดที่ทัพนักเตะไทยจะได้รับอีกว่าผู้เล่นทุกคนวิ่งด้วยใจไม่ใช่ด้วยเงิน “ไม่มีใครรู้ว่าถ้าเราชนะแล้วจะได้เท่าไหร่ อาจจะมีหลายคนมายื่นให้เพิ่มก็ได้ แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่ต้องสนใจ นักเตะทุกคนลงเล่นด้วยหัวใจไม่ใช่ด้วยเงิน”
